การออกไปใช้ชีวิตสโลว์ไลฟ์ ทำนาปลูกข้าวปลูกผักทานเองอาจจะเป็นวิถีชีวิตในฝันของคนหลายคน แต่การทำเกษตรที่ดีและได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลนั้นดูอาจจะเป็นเรื่องยากในบางสังคม ทว่าสำหรับ 'ญี่ปุ่น' การทำเกษตรของคนรุ่นใหม่นั้นได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่ตามนโยบายของรัฐบาล
'วอยซ์ออนไลน์' พาไปคุยกับ 'แจ็ค ปฐมทัศน์ ทองฉิม' คนไทยที่ไปเป็นเกษตรกรอยู่ที่เมืองวะซุกะ จังหวัดเกียวโต ประเทศญี่ปุ่น โดยก่อนหน้านี้แจ็คเป็นชาวสวนยางอยู่ที่จังหวัดสงขลา ก่อนที่จะย้ายตามภรรยาที่เป็นชาวเมืองวะซุกะกลับมาอาศัยอยู่ในญี่ปุ่น
แจ็คกล่าวว่า จุดเริ่มต้นของการเป็นเกษตรกรในญี่ปุ่น คือเริ่มจากการเป็นลูกจ้างในไร่ชาในเมืองวะสุกะเป็นเวลา 2 ปี หลังจากนั้นเจ้าของไร่ชาบอกให้ลองไปติดต่อรัฐบาลท้องถิ่นเพื่อเข้าโครงการของรัฐบาลญี่ปุ่นที่ส่งเสริมเกษตรกรรุ่นใหม่ของญี่ปุ่น ซึ่งทางโครงการจะให้เงินสนับสนุนการทำเกษตรเป็นระยะเวลา 5 ปี และต้องเป็นเกษตรกรเป็นระยะเวลา 10 ปี
(แจ็ค ปฐมทัศน์ ทองฉิม เกษตรกรไทยผู้ย้ายถิ่นฐานไปยังบ้านเกิดของภรรยาชาวญี่ปุ่น)
เมืองวะซุกะเป็นเมืองเล็กๆ ในหุบเขาของเกียวโตมีประชากรประมาณ 5,000 คน ชาวเมืองสวนใหญ่ทำไร่ชาและปลูกข้าว ดังนั้นการผันตัวมาเป็นเกษตรกรของแจ็ค จึงไม่พ้นการปลูกข้าวและการทำไร่ชา เหมือนชาวเมืองคนอื่นๆ
การปลูกข้าวของแจ็คเริ่มจากการเช่าที่นาของคนญี่ปุ่น 1 แปลง และใช้เวลากลางคืนหลังจากเสร็จงานประจำมาดูแลแปลงนา จนชาวญี่ปุ่นที่เป็นเจ้าของแปลงนาเห็นถึงความตั้งใจในการทำนา ยกแปลงนาให้แจ็คดูแลเพิ่มอีกหลายแปลงโดยไม่คิดค่าเช่า ปัจจุบันแจ็คมีแปลงนา 13 แปลง รวมพื้นที่ประมาณ 7 ไร่ที่ดูแลอยู่
(แปลงนาที่แจ็คได้รับการจ้างวานให้ช่วยดูแลจากชาวญี่ปุ่น)
แจ็คกล่าวว่า ทุกวันนี้ก็ยังทำงานประจำและแบ่งเวลามาดูแลนาข้าวเพียงวันละ 30 นาทีต่อแปลง โดยให้เหตุผลว่า การปลูกข้าวนั้นจะใช้เวลาทั้งหมด 120 วัน ซึ่งหากทำนาอย่างเดียวก็จะไม่เกิดรายได้ จึงใช้เวลาว่างหลังจากทำงานประจำมาดูต้นข้าวในแปลงนา
"โชคดีที่ได้แปลงนามาจากคนญี่ปุ่นโดยไม่คิดค่าเช่า แต่ขอเพียงผลผลิตปีละ 120 กิโลกรัมเท่านั้น"
ทั้งนี้การทำนาของแจ็คมีข้อแม้ว่าต้องไม่ใช้สารเคมี ซึ่งอาจจะให้ผลผลิตจะน้อยกว่าการใช้ปุ๋ยเคมี แต่คุณภาพและรสชาติของข้าวนั้นกลับดีกว่าข้าวที่ออกรวงได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยจากการใช้สารเคมี
(เมล็ดข้าวอันอวบอ้วนจากแปลงนาอินทรีย์ของแจ็ค)
แจ็คกล่าวว่า หากประเมินกำลังการผลิตข้าวทั้งหมดจะสูงถึง 6,000 กิโลกรัม แต่ 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เคยสามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้หมด เนื่องจากถูกกวางบุกรุกเข้ามากินข้าวจนเสียหาย
อย่างไรก็ตามปัจจุบันมีลูกค้าติดต่อขอซื้อข้าวจากแปลงนาอินทรีย์ปลอดสารของแจ็คแล้ว 20 ถุง โดยแต่ละถุงมีน้ำหนัก 30 กิโลกรัม
"ผมเหมือนมะเร็งที่ลามไปทุกที่ เป็นมะเร็งที่ทำเกษตรอินทรีย์ ซึ่งคนญี่ปุ่นหลายคนเริ่มไว้ใจและมาจับจองตัวให้ไปช่วยปลูกและดูแลแปลงข้าว โดยไม่คิดค่าเช่าที่นา’ แจ็คกล่าวติดตลก
ปัจจุบันญี่ปุ่นกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ที่ดินสำหรับการทำเกษตรกรรมในญี่ปุ่นต่างถูกทิ้งร้างหรือขาดการดูแลจำนวนมาก เนื่องจากคนรุ่นใหม่ต่างหันหน้าเข้าสู่สังคมเมืองเพื่อหางานทำกันมาขึ้น คนสูงอายุส่วนใหญ่ก็ไม่มีกำลังมากพอที่จะดูแลให้ทั่วถึงอีกต่อไป เหมือนในเมืองวะซุกะที่พบที่ดินการเกษตรหลายแปลงเริ่มรกร้าง หรือมีการปล่อยเช่าจากเจ้าของที่ดิน
แจ็คกล่าวว่า ไม่ได้อยากได้ที่ดินในญี่ปุ่นเป็นของตัวเอง แต่อยากจะเก็บแผ่นดินนี้ให้คนญี่ปุ่นรุ่นหลังจึงตัดสินใจทำเกษตรตามวิถีเกษตรอินทรีย์ เพื่อทรัพยากรให้ญี่ปุ่นต่อไปและยังอยากให้เกษตรกรรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นมารับช่วงต่อในการทำเกษตรด้วยทรัพยากรที่ดีมีคุณภาพต่อไป
ปิดท้ายนี้แจ็คกระซิบกับวอยซ์ออนไลน์ว่า 'ที่ผ่านมาไม่เคยปลูกข้าวเลย การทำนาที่วะซุกะ จึงเหมือนเป็นการทดลองการทำนาโดยเลือกรูปแบบวิถีเกษตรอินทรีย์ที่ไม่ใช้สารเคมี ทั้งนี้การไม่ใช้สารเคก็มีทำให้รู้สึกเหมือนชนะคนญี่ปุ่นในเรื่องการทำเกษตร จากต้นทุนที่น้อยกว่าและได้ผลิตที่เกือบๆ เท่ากับแปลงที่ใช้สารเคมี ซึ่งการทำเกษตรวิถีอินทรีย์ทำให้รายได้หลังจากหักลบต้นทุนก็มากขึ้นตามลำดับด้วย'