ไม่พบผลการค้นหา
เจ้าหน้าที่ฮ่องกงเตือนจีนจะไม่ปราณีกับ "กลุ่มผู้ประท้วงหัวรุนแรงเสื้อดำ" ชี้คือ "ไวรัสทางการเมือง" ที่แสวงหาอิสรภาพจากจีน

สำนักงานกิจการฮ่องกงมาเก๊า(HKMAO) ออกแถลงการณ์ประณามกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อดำฮ่องกง โดยกล่าวว่า เป็นพวกหัวรุนแรงที่ต้องการแยกฮ่องกงให้เป็นอิสระจากจีน และยังเตือนว่า รัฐบาลกลางของจีนจะไม่นิ่งเฉยต่อพลังที่บ้าคลั่งนี้ พร้อมเน้นย้ำว่าความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของจีนคือการรักษาความสงบและความมั่นคงของชาติ

"การกระทำของกลุ่มผู้ประท้วงหัวรุนแรงเสื้อดำเป็น 'ไวรัสทางการเมือง' ในสังคมฮ่องกงและเป็นศัตรูตัวใหญ่ของระบบการปกครองแบบ 1 ประเทศ 2 ระบบ" HKMAO กล่าว

ในแถลงการณ์ยังกล่าวว่า "ตราบใดที่กลุ่มผู้ประท้วงยังไม่ยอมสลายการชุมนุม ฮ่องกงก็จะไม่มีวันสงบ"

การชุมนุมประท้วงของฮ่องกงเริ่มรุนแรงขึ้นตั้งปลายเดือน มิ.ย.2562 โดยประชาชนนับล้านคนออกมาชุมนุมในพื้นที่ต่างๆ เพื่อประท้วงกฎหมายการส่งผู้ร้ายข้ามแดนให้กับจีน ซึ่งกลุ่มผู้ชุมนุมเห็นว่ากฎหมายดังกล่าวจะทำให้ฮ่องกงเสียอิสรภาพในทางการเมืองอย่างแท้จริงและยังเป็นการทำลายระบอบการปกครอง 1 ประเทศ 2 ระบบที่ฮ่องกงและจีนใช้กันมาตั้งแต่ปี 1997 หลังจากฮ่องกงเป็นอิสรภาพจากอังกฤษ

ขณะที่เมื่อช่วงต้นเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาฮ่องกงประกาศการคลายล็อกดาวน์หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 นับตั้งแต่เดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้ชุมนุมกลับมารวมตัวชุมนุมกันอีกครั้ง ซึ่งส่วนใหญ่จะรวมกลุ่มกันบริเวณห้างสรรพสินค้าและร่วมร้องเพลงเพื่อเป็นการประท้วง ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจฮ่องกงจึงใช้กฎการห้ามชุมนุมในช่วงไวรัสระบาดเข้าสลายการชุมนุม รวมถึงมีการใช้สเปรย์พริกไทยเช่นกัน

ทางด้าน HKMAO ได้ออกมาประณามกลุ่มผู้ชุมนุมที่ออกมาเมื่อวันที่ 1 พ.ค.ว่า เพิกเฉยต่อมาตรการป้องการการแพร่ระบาดและมีความพยายามในการจัดตั้งสงครามกลางถนนอีกครั้ง โดยอ้างถึงรายงานของตำรวจที่พบระเบิดแก๊สน้ำตาและทำการจับกลุ่มผู้ประท้วงอายุ 15 ปี ผู้ขว้างระเบิดแก๊สน้ำตาเมื่อวันที่ 1 พ.ค.

ทั้งนี้แถลงการณ์ของ HKMAO มีขึ้นหลังจากเมื่อช่วงช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีนในฮ่องกงเรียกร้องให้รัฐบาลฮ่องกงออกกฎหมายความมั่นคงอย่างเร็วที่สุด ซึ่งทำให้หลายฝ่ายกังวลถึงเสรีภาพในฮ่องกง และเมื่อเดือน เม.ย.มีการจับกลุ่มผู้เข้าร่วมชุมนุมในฮ่องกง 15 คน ซึ่งรวมถึงนักการเมือง เจ้าของสำนักพิมพ์และทนายความอาวุโส ซึ่งทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมในฮ่องกงกลับมาเป็นที่สนใจจากสหรัฐฯ และองค์สิทธิมนุษยชนสากลอีกครั้ง

ที่มา Reuters / the guardian

ข่าวที่เกี่ยวข้อง