ว่านไฉ 'อคิร วงษ์เซ็ง' – Music Producer & Content Creator เพจอาสาพาไปหลง เล่าให้ทีมข่าว 'วอยซ์ ออนไลน์' ฟังว่าเพจนี้เกิดจากความเลอะเทอะของตัวเอง ที่ชอบเที่ยวไปหลงไป และมักจะพบเจอมิตรภาพและประสบการณ์ใหม่ๆ จากการท่องเที่ยว
ว่านไฉ กล่าวว่า อาชีพจริงๆ ของตัวเองคือโปรดิวเซอร์เพลง ทำเพลงให้กับศิลปิน, ละคร, ภาพยนตร์, และโฆษณา พอหาเงินมาได้ก็ไปเที่ยว เที่ยวจนเงินหมด แล้วกลับมาหาเงินใหม่ และเที่ยวใหม่ พอไปเที่ยวกลับมาก็มีมุมมองที่อยากจะเล่าให้คนฟัง แต่การเล่าเรื่องให้เพื่อนฟังมีเวลาน้อย เพื่อนยังฟังไม่หมดก็กลับบ้านไปแล้ว ตนก็เลยเปิดเพจนี้ขึ้นมาเล่าประสบการณ์การท่องเที่ยวของตนเอง
“การเที่ยวทำให้เราเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น นอกจากมุมมองแล้ว มันยังมีเรื่องเล่า มีเรื่องเล่าเวลาคุยกับเพื่อนก็สนุกเสมอ เราเป็นคนมีข้อมูลอยู่แล้ว และด้วยความที่เราเป็นคนขี้โม้ด้วย...การเที่ยวครั้งแรกสำหรับคนที่ไม่เคยเที่ยวเลย รวมถึงผมด้วย มันมีแค่สวิตซ์ๆ เดียว ว่าไปหรือไม่ไป สวิตซ์นี้มันยังคงปิดอยู่ตลอดเวลาถ้าคุณไปเที่ยวครั้งแรกคุณจะเสพติดมันอย่างแน่นอนครับ" ว่านไฉกล่าวติดตลก
ว่านไฉ เผยว่า ครั้งแรกในการไปเที่ยวของตนคือไปประเทศญี่ปุ่น เพราะมันเป็นประเทศในฝันของใครหลายๆ คน เพราะตัวเองโตมากับอะไรๆ ที่มันเป็นญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นการ์ตูน หรือฟังเพลงวงเอ็กซ์เจแปน ซึ่งเมืองที่เลือกไปครั้งแรกคือโตเกียว เพราะตอนนั้นอ่านหนังสือ 'โตเกียวไม่มีขา' ของนิ้วกลม มีอยู่ตอนหนึ่งที่บอกว่าพอไปถึงโตเกียวแล้วจองโรงแรมไม่ทันก็เลยนอนที่สถานีรถไฟ ซึ่งความจริงมันผิดกฎหมาย แต่ตัวเองรู้สึกว่ามันเท่จังเลย ก็เลยอยากไปญี่ปุ่น ซึ่งตอนนั้นตนเพิ่งอายุ 20 ปี เก็บเงินได้ก้อนแรกจากการแต่งเพลงก็เอาไปเที่ยว หมดไปเกือบ 60,000 บาท ซึ่งค่าเงินญี่ปุ่นแพงมาก 37 บาทต่อ 100 เยน ราเมนราคาเกือบ 400 บาท กลับมาเป็นหนี้ เริ่มเก็บเงินใหม่ทั้งหมด เขาเล่าให้ฟังว่าตอนนั้นก็เครียด แต่ผมรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามากๆ เลยสำหรับสิ่งที่เราได้รับกลับมา กับบรรยากาศที่แตกต่างจากประเทศไทยและห้องอัดเสียงก็เลยหลงรัก
"กลับมาปุ๊บ จากเพลงที่มันเป็นมุมแคบๆ เราแต่งเพลงได้มากขึ้น เราเห็นมุมมองความคิดของคนในประเทศญี่ปุ่น ที่เราเคยรู้สึกว่าทำไมคนโน้นไม่ทำแบบนี้ ทำไมคนนี้ไม่ทำแบบนี้ ทำไมฉันต้องเป็นอย่างนี้ คือเราเอาตัวเองเป็นที่ตั้งมาตลอด พอเราออกไปในโลกกว้างเราจะรู้สึกว่าตัวเราเล็กแค่นิดเดียวเอง"
ว่านไฉ เล่าต่อว่า ช่วงแรกๆ ที่ไปก็อยากไปเที่ยวกลางคืน ไปเหล่สาว แต่สุดท้ายแล้วความลงตัว คือ ตัวเองชอบคุยกับคน อยากรู้ความคิดและวิถีชีวิตนั่งดูผู้คน ว่านไฉบอกว่าเคยมีอยู่ครั้งนึง ไปเที่ยวญี่ปุ่นกับแม่ พอแม่นอนแล้วก็ลงมาหาอะไรดื่มในร้านทาโกยากิเพื่อที่จะได้นอนสบาย แต่มีผู้ชายที่นั่งข้างๆ ใส่สูท เขาหันมามองและพูดอะไรสักอย่างที่ตนฟังไม่ออกฟังทันแค่ช่วงท้ายที่ว่า 'ยากุซ่าเดสสึ' แล้วโชว์มือว่าไม่มีนิ้วก้อย ตอนแรกก็ตกใจกลัวแต่ทำใจดีสู้เสือ ชวนเขาคุย แม้ว่าเขาจะพูดภาษาอังกฤษไม่ได้แม้แต่คำเดียว ตนก็ใช้กูเกิ้ลทรานสเลตช่วยแปล คืนนั้นว่านไฉคุยกับผู้ชายคนนั้นในร้านตั้งแต่ 3 ทุ่มจนถึงตี 4 จนสุดท้ายเขาร้องไห้ และเปิดรูปในมือถือเครื่องเก่าของเขาให้ดูว่าเขามีลูกสาว ทุกวันนี้เขาเลิกเป็นยากุซ่าแล้ว หลังจากโดนตัดนิ้ว และยากุซ่าคนนั้นก็เลี้ยงเบียร์ตนทั้งคืน
"สุดท้ายผมบอกว่าขอถ่ายรูปเพื่อเป็นความทรงจำดีๆ ได้ไหม เขาบอกว่าคนไม่ดีอย่างเขาไม่ต้องถ่ายรูปด้วยหรอก แค่ความทรงจำนี้ มันจะเป็นความทรงจำที่ติดในตัวคุณตลอดไป โคตรเท่ วันนั้นมันคือการเปิดสวิตซ์ว่าการไปเที่ยวคือการไปเรียนรู้ครับ" ว่านไฉเล่าประสบการณ์ด้วยรอยยิ้ม
ว่านไฉ ยังเล่าให้ฟังอีกว่า ประสบการณ์ที่ตลกที่สุดในการท่องเที่ยวก็เกิดขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ในช่วงที่เริ่มทำเพจและถ่ายรายการท่องเที่ยว ตนให้ทีมงานกลับไปก่อนเพื่อที่จะได้กลับเที่ยวบินเดียวกับแฟน เพราะแฟนเริ่มทำงานเป็นลูกเรือครั้งแรก แต่เมื่อถึงสนามบินตนกลับหาพาสปอร์ตไม่เจอ จนต้องทิ้งตั๋วแล้วกลับไปหาตามสถานที่ต่างๆ ที่ไปเที่ยว จนสุดท้ายไปแจ้งความและให้เจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยตามหา ซึ่งก่อนจะถอดใจก็เลยเทข้าวของในกระเป๋าออก และกลับพบว่าพาสปอร์ตอยู่ในกระเป๋า ว่านบอกว่าเป็นประสบการณ์ที่ตนไม่มีวันลืม
เมื่อถามถึงแรงบันดาลใจในการแต่งเพลงแต่ละทริป ว่านไฉ เล่าว่า ตนทำงานเพลงมา 9 ปี เวลาไปเที่ยว ได้ยินเสียงต่างๆ ก็จะรู้สึกถึงคอร์ดและจังหวะ ตนก็เลยแต่งเพลงประจำทริปของตัวเอง เพื่อให้เป็นบรรยากาศของตัวเองและให้คนจำมันไปตลอด และอยากให้คนอื่นจำสิ่งเหล่านี้ไปพร้อมกับตนด้วยก็เลยแต่งเพลงประจำทริป บางครั้งไม่ได้คิดว่าจะแต่งเพลง แต่มันนึกถึงเนื้อเพลงขึ้นมาในหัว เช่น ทริปมัลดีฟส์ ก็นึกถึงคำว่าเมาดิบผสมกับจังหวะดนตรีที่เหมาะกับทะเล ก็เลยร้องและอัดเสียงไว้ในมือถือแล้วพอกลับมาก็รีบมาทำเพลงนี้ ซึ่งได้รับความนิยมมากหลายล้านวิว
นอกจากนี้ เอกลักษณ์ของรายการท่องเทีี่ยวอาสาพาไปหลงคือการพากษ์เสียงตลก ซึ่งว่านไฉ เปิดเผยว่า ตนมีอาชีพเสริมเป็นนักพากษ์ ทำเสียงได้หลากหลาย แล้วพอพากษ์เสียงเล่าเรื่องตอนแรกก็ทำเสียงปกติ แต่พอเห็นคนเข้ามาในภาพ ก็คิดว่าถ้าเขาพูดประโยคนี้ ด้วยเสียงที่มันขัดกับภาพน่าจะน่ารักดี เลยเริ่มพากษ์เสียงในคลิปตั้งแต่นั้นมา ตอนนี้มีทั้งหมด 6 เสียง ได้แก่ เสียงเล่าเรื่องปกติ เสียงลุง เสียงตัวตลกแหลมๆ เสียงตุ๊ด เสียงผู้หญิง และเสียงป้า แต่ตนจะมีกฎว่าถ้าเวลาพากษ์เสียงใคร เจ้าตัวมาฟังแล้วจะต้องรู้สึกสนุกด้วย ไม่รู้สึกเหมือนโดนดูถูก พอหลังๆ เวลาพากษ์เสียง แล้วคิดไม่ออกก็จะใส่วิกเป็นคนนั้นคนนี้ ให้ตลกๆ ฮาๆ ซึ่งว่านไฉบอกว่างานนี้เป็นงานที่ได้ใช้ทั้งความรัก และความถนัดในทุกด้านเข้ามาทำงานด้วยความสุข