ไม่พบผลการค้นหา
มูจิกำลังเผชิญหน้ากับยอดการขายที่ลดลงทั่วโลก โดยเฉพาะในตลาดจีน ด้านผู้เชี่ยวชาญแนะนำว่าแม้มูจิเป็นสินค้าคุณภาพสูง แต่ต้องปรับราคาสินค้าลง

เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทเรียฮิน เคียวคาคุ บริษัทแม่ของแบรนด์มูจิ รายงานว่าเป็นครั้งแรกในรอบ 8 ปีที่บริษัทมีกำไรลดลงและยอดขายตกลงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ โดยเฉพาะในร้านค้าที่ตั้งอยู่ในจีน

ภายใต้แนวติด 'less is more น้อยแต่มาก' ซึ่งเป็นแนวคิดหลักของมูจิและเป็นจุดเด่นของมูจิในการแข่งขันในตลาดสินค้า ซึ่งมูจิมีเป้าหมายสร้างไลฟ์สไตล์แบบมูจิในกลุ่มผู้บริโภคทั่วโลก และล่าสุดลงทุนขยายธุรกิจไปยังโรงแรมภายใต้แบรนด์มูจิและรถบัสดีไซน์แบบมูจิที่มีขายในอินเดียและสวิตเซอร์แลนด์

'ซาโตรุ มัตซูซากิ' ประธานบริหารมูจิกล่าวว่า 'มูจิตั้งเป้าไว้ภายในปี 2573จะมีร้านค้าในเมืองใหญ่ๆ ทั่วโลกและผู้บริโภคจะสามารถซื้อผลิตภัณฑ์ของมูจิใช้ได้ในชีวิตประจำวัน'

'มูจิ' เปิดร้านค้าสาขาแห่งแรกในกรุงลอนดอนในปี 2534 แต่เริ่มขยายสาขาต่างประเทศอย่างจริงจังในช่วงทศวรรษ 2543 และเปิดสาขาในจีนแห่งแรกเมื่อปี 2555 จนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของมูจิ ปัจจุบันยอดขายสินค้าในต่างประเทศของมูจิคิดเป็นร้อยละ 40 ของยอดขายทั้งหมด 

จุดอ่อนและการแข่งขันในตลาดโลก

สินค้ามูจิที่ไม่มีการตีตราแบรนด์มูจิที่ชัดเจนนั้นกำลังกลายเป็นจุดอ่อนของมูจิ ซึ่งทำให้เกิดการลอกเลียนแบบสินค้าและนำมาขายในราคาที่ต่ำกว่า ก่อให้เกิดการแข่งขันทางด้านราคาในตลาดประเภทเดียวกัน


'แม้เขาจะรู้ว่ามินิโซพยายามลอกเลียนแบบมูจิ แต่มินิโซก็มีราคาที่ถูกกว่าและมีคุณภาพที่เป็นมาตรฐาน'


ราคาของมูจิ แม้ว่าจะมีราคาไม่สูงเมื่อเทียบกับดีไซน์และคุณภาพวัสดุ แต่ทั้งนี้ราคาสินค้าจากมูจิเมื่อวางขายนอกประเทศญี่ปุ่นจะมีราคาที่ค่อนข้างสูง เนื่องจากค่าขนส่งและภาษีนำเข้าของแต่ละประเทศที่บวกเพิ่มเข้าไปในราคาสินค้า ส่งผลให้สินค้าของมูจิมีราคาสูงกว่าสินค้าอื่นๆ ที่อยู่ในตลาดประเภทเดียวหรือใกล้เคียงกันอย่างมินิโซ และโนเมะ เช่น ราคาของสมุดบันทึกระหว่างมินิโซและมูจิที่แตกต่างกันอย่างมากเมื่อเปรียบเทียบกัน โดยของมินิโซราคาขายอยู่ที่ 39.9 หยวน (ประมาณ 200 บาท) ขณะที่ของมูจิตั้งราคาไว้ที่ 190 หยวน (ประมาณ 950 บาท)

ผู้บริโภคชาวจีนรายหนึ่งกล่าวว่า "แม้เขาจะรู้ว่ามินิโซพยายามลอกเลียนแบบมูจิ แต่มินิโซก็มีราคาที่ถูกกว่าและมีคุณภาพที่เป็นมาตรฐาน"

ขณะที่อีกรายกล่าวว่า "สินค้าของมินิโซนั้นมีความเหมือนกับสินค้ามูจิแต่คุณภาพนั้นมีความแตกต่างกันมาก การเลือกซื้อสินค้ามินิโซนั้นเธอไม่ได้คาดหวังว่าสินค้านั้นจะสามารถใช้งานได้นาน"

ปัจจัยด้านราคา เป็นปัญหาใหญ่สำหรับแบรนด์มูจิ โดยเฉพาะการแข่งขันในตลาดเอเชีย มูจิจะต้องผลิตสินค้าให้มากขึ้นโดยเฉพาะในประเทศที่มูจิมีร้านค้า ขณะที่ในปีหน้า มูจิมีแผนที่จะผลิตสินค้าในอินเดียกว่า 200 ประเภท สำหรับร้านมูจิในอินเดีย หรืออีกทางเลือกหนึ่งของมูจิ คือย้ายฐานการผลิตสินค้ามายังภูมิภาคเอเชียตะวันอออกเฉียงใต้ ซึ่งมีแรงงานราคาถูก

'โยชิโนริ ฟูจิคาวะ' ศาสตราจารย์ด้านการจัดการ วิทยาลัยกลยุทธ์นานาชาติของมหาวิทยาลัยฮิโตซึบาชิของญี่ปุ่นกล่าวว่า "ในฐานะที่มูจิประกาศตัวว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพในราคาที่เอื้อมถึงได้นั้น มูจิต้องปรับลดราคาสินค้าลงเพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ทั่วโลก"

เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมามูจิได้เปิดศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์ในจีน เพื่อศึกษาไลฟ์สไตล์ของตลาดจีน ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวอาจจะเป็นเรื่องที่ล่าช้าของมูจิในการเจาะตลาดจีน แต่มูจิต้องการแข่งขันในตลาดนี้ หลังจากที่ยอดขายมูจิในปี 2561 ในตลาดจีนมียอดขายที่ลดลงเป็นจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม มูจิระบุว่า ผลิตภัณฑ์บางอย่างของมูจิ เช่นเครื่องสำอางค์ยังคงผลิตในญี่ปุ่นต่อไป เนื่องจากคุณภาพของวัตถุดิบที่มีคุณภาพสูงกว่าซึ่งเป็นจุดแข็งของแบรนด์

แม้ตลาดจีนเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออก มูลค่ายอดขายมูจิในประเทศจีนคิดเป็นสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 62 ของยอดขายในภูมิภาคนี้และคิดเป็นร้อยละ 18 ของยอดขายมูจิทั่วโลก 

ปัจจุบันมูจิมีสาขาในจีนทั้งสิ้น 235 สาขา ขณะที่ในญี่ปุ่นมีร้านมูจิ 420 สาขา นอกจากนี้ทางบริษัทเรียวฮิน เคียวคาคุได้เปิดโรงแรมมูจิแห่งแรกในจีนที่เซินเจิ้นและปักกิ่งเป็นที่แรกของโลกอีกด้วย

ที่มา Nikkei / Bloomberg

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :