พันตำรวจโทพงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) กล่าวถึงกรณีความชัดเจนในคดีทุจริตเงินอุดหนุนการศึกษา โรงเรียนพระปริยัติธรรม ว่า อยู่ในขั้นตอนของตำรวจ ซึ่งจะแจ้งเอาผิดผู้ที่เกี่ยวข้องล็อต 4 หรือไม่ ยังไม่ขอให้รายละเอียด เพราะต้องรอการตรวจสอบและแจ้งมาที่ พศ.
อย่างไรก็ดี คดีดังกล่าวแบ่งการกระทำเป็นสองส่วน คือ การจัดสรรงบประมาณโดยไม่ชอบ ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบ คือ เจ้าหน้าที่ และบุคคลอื่น ได้แก่ บรรพชิต ฆราวาส จะผิดในฐานผู้สนับสนุน เป็นเรื่องสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งในสำนักงานพระพุทธศาสนา ขณะนี้ได้มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องหลายคนได้ถูกดำเนินการไล่ออกแล้ว แต่ยังไม่หมด จึงต้องทำแบบค่อยเป็นค่อยไปตามพยานหลักฐาน และเมื่อเงินดังกล่าวออกมาแล้วเกิดการยักย้ายถ่ายเท ถือเป็นความผิดฐานฟอกเงิน ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดจะอยู่ที่วัด แต่จะเป็นใครอย่างไรบ้าง ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)
"ในอดีต 2500 กว่าปี ที่ผ่านมามี กาลามสูตร ที่สอนว่าอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ ให้พิจารณาอย่างท่องแท้ ถ้าไม่ประจักษ์แจ้งด้วยเหตุและผล อย่าเชื่อ ข่าวเล่า ข่าวลือ พิจารณาด้วยตัวท่านเอง ว่ามีผู้รับผิดชอบ มีบางคนถูกตำรวจเรียกไปแล้ว" พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าว
พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าวว่า กรณีบัญชีทรัพย์สินของวัด สำนักพุทธฯ ทำหนังสือขอเพียงตัวอย่างของวัดที่พระไม่ได้จับเงินเท่านั้น เพื่อนำไปเป็นข้อมูลไปศึกษาเท่านั้น ว่าทำได้หรือไม่ได้ ซึ่งขณะนี้มีรายชื่อเข้ามาแล้ว แต่ไม่ขอเปิดเผย แต่กลับมีการนำหนังสือดังกล่าวไปตีความสร้างความแตกแยก จึงขอยืนยันว่า สำนักพุทธฯ ไม่ได้มีอำนาจไปสั่งใครได้ การปกครองคณะสงฆ์ มีสมเด็จพระสังฆราชและมหาเถรสมาคม ที่จะเป็นผู้ออกกฎใช้ปกครอง เหมือนเช่นเป็นคณะรัฐมนตรีของสงฆ์
หากมีสิ่งใดที่จะออกมาเป็นมติ ต้องออกมาจากรัฐบาลของสงฆ์ ไม่ใช่สำนักพุทธฯ จึงอยากขอให้นำกาลามสูตรมาคิดพิจารณา กับสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด หากผิดพลาดให้อภัยกัน ซึ่งถือเป็นทานสูงสุด
ส่วนกรณีว่าพระจะจับเงินได้หรือไม่นั้น พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าวว่า ถ้าตอบจะยิ่งสับสน ขอให้กลับไปดูในธรรมวินัย คำตอบอยู่ในนั้น ขณะที่มีข่าวว่าพระมหาศาสนมุนี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ลาสิกขาแล้วนั้น เป็นเรื่องของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องดำเนินการ
นอกจากนี้ ตัวแทนเครือข่ายทนายปกป้องพระพุทธศาสนา และกลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน ยื่นหนังสือถึงสมเด็จพระสังฆราชฯ โดยมีนายสิปป์บวร แก้วงาม ผอ.สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม เป็นผู้รับหนังสือแทน ขอให้พิจารณาออกมติให้เจ้าอาวาสวัดหรือตัวแทนทุกวัดในประเทศไทย ที่ได้รับเงินงบประมาณ ให้ไปแจ้งความไว้ที่สถานีตำรวจ และรายละเอียดว่าได้รับงบประมาณอย่างไร เพื่อป้องกันการถูกจับกุมตัว แสดงเจตนาบริสุทธิ์ และให้ถูกกันตัวเป็นพยานหากมีการสอบสวน เพราะไม่อยากเห็นภาพพระสงฆ์ถูกควบคุมตัวอีก
ทั้งนี้ มีทนายความทั่วประเทศที่อยู่ในเครือข่ายพร้อมออกมาช่วยเหลือพระสงฆ์ในเรื่องนี้
สำหรับการประชุมมหาเถรสมาคมวันนี้ (20 มิ.ย.) มีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นประธานการประชุม ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ยังไม่มีเรื่องการแต่งตั้งพระมาเป็นกรรมการมหาเถรสมาคมแทนตำแหน่งที่ว่าง
ข่าวเกี่ยวข้อง :