ไม่พบผลการค้นหา
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่ร่วมลงนามในแถลงการณ์ปิดการประชุม จี7 พร้อมทวีตโจมตีนายกฯ แคนาดา 'ไม่ซื่อสัตย์-อ่อนแอ' เอาเปรียบสหรัฐฯ เก็บภาษีผลิตภัณฑ์นมกว่า 270 % - ผู้นำกลุ่มจี7 อื่นๆ หวั่นเกิดสงครามการค้า ขณะที่สื่อสหรัฐฯ ระบุทรัมป์แสดงอาการเกรี้ยวกราดเหมือนเด็ก

โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำประเทศเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก (G7) ระหว่างวันที่ 8 - 9 มิ.ย. และเป็นผู้นำรายแรกที่เดินทางออกจากแคนาดาหลังจากสิ้นสุดการประชุม เมื���อวานนี้ (9 มิ.ย.) เพื่อเดินทางไปยังสิงคโปร์ และเตรียมตัวเข้าร่วมการประชุมกับผู้นำเกาหลีเหนือ ซึ่งจะจัดขึ้นอย่างเป็นทางการในวันที่ 12 มิ.ย.

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นและฟ็อกซ์นิวส์รายงานว่าทรัมป์ออกคำสั่งให้ตัวแทนรัฐบาลสหรัฐฯ งดลงนามในแถลงการณ์ร่วมปิดการประชุม จี7 หลังจากที่เขามีความเห็นขัดแย้งกับจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดา ระหว่างการเจรจาเรื่องมาตรการภาษีที่สหรัฐฯ ผลักดันนโยบาย 'อเมริกาต้องมาก่อน' และขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าต่างๆ เพื่อตอบโต้อีกหลายประเทศที่ทรัมป์มองว่าปฏิบัติต่อสหรัฐฯ อย่างไ่ม่เป็นธรรม

ทรัมป์ระบุในข้อความผ่านทวิตเตอร์ส่วนตัวว่า แคนาดาเรียกเก็บภาษีผลิตภัณฑ์นมจากสหรัฐฯ สูงถึงร้อยละ 270 ซึ่งเป็นการเอาเปรียบเกษตรกรชาวอเมริกันทั้งหลาย และระบุด้วยว่า ทรูโดไม่ซื่อสัตย์และอ่อนแอ โดยซีเอ็นเอ็นระบุว่า การกล่าวประณามทรูโดของทรัมป์ เกิดขึ้นหลังจากที่ผู้นำแคนาดาแถลงข่าวว่าการเรียกเก็บภาษีเหล็กและอลูมิเนียมของสหรัฐฯ เป็นมาตรการที่ไม่สมเหตุสมผล

นอกเหนือจากความไม่ลงรอยกับทรูโด ทรัมป์ยังได้กล่าวโจมตีเอ็มมานูเอล มาครง ประธานาธิบดีฝรั่งเศส และผู้นำกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป (อียู) ว่าปฏิบัติกับสหรัฐฯ อย่างไม่เป็นธรรม และเอารัดเอาเปรียบในด้านต่างๆ เพราะทุกประเทศที่กล่าวมา แสดงท่าทีคัดค้านมาตรการภาษีของสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม โฆษกรัฐบาลแคนาดาไม่ได้ออกมาแถลงตอบโต้ทรัมป์ แต่ยืนยันว่า ทรูโดปฏิบัติต่อทรัมป์ในฐานะผู้นำสหรัฐฯ ด้วยความสุภาพ สิ่งที่ทรูโดพูดกับทรัมป์นั้นก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากที่แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน

ทรัมป์-แคนาดา-จี7

(ทรัมป์เข้าร่วมการประชุมจี7 ล่าช้า แต่เป็นคนแรกที่เดินทางออกจากแคนาดาเพื่อไปยังสิงคโปร์)

'เกรี้ยวกราดราวกับเด็กไม่รู้จักโต'

การไม่ลงนามร่วมในแถลงการณ์ปิดประชุมจี7 รวมถึงการโจมตีผู้นำแคนาดาและฝรั่งเศสแบบระบุตัวตน ทำให้ เดอะวอชิงตันโพสต์ เผยแพร่บทบรรณาธิการวิพากษ์วิจารณ์ทรัมป์ ว่าเป็นผู้นำที่เกรี้ยวกราดราวกับเด็กไม่รู้จักโต และไม่รู้จักแบ่งแยกระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องส่วนรวม เนื่องจากทรูโดและมาครงอาจจะใช้ท่าทีทางการทูตเจรจากับทรัมป์ แต่เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเรื่องนโยบายระดับประเทศ ต่างฝ่ายย่อมต้องมีจุดยืนและผลประโยชน์ที่ต้องรักษา

ในกรณีของกลุ่มประเทศจี7 มีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้วก็เพื่อป้องกันและหาทางแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการค้าและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมถึงผนึกกำลังกลุ่มประเทศเสรีนิยมเพื่อต่อสู้ภาวะเศรษฐกิจในยุคสงครามเย็น แต่ท่าทีของทรัมป์ในการประชุมครั้งนี้ ทำให้นักวิเคราะห์เกรงว่าจะเกิดการตอบโต้ทางการค้าหรือสงครามทางการค้าของกลุ่มประเทศโลกเสรีตามมาได้

นอกจากนี้ ท่าทีของอังเกลา แมร์เคล นายกรัฐมนตรีเยอรมนี ซึ่งอนุญาตให้คณะทำงานเผยแพร่ภาพระหว่างการประชุมจี7 ผ่านบัญชีทวิตเตอร์อย่างเป็นทางการของหน่วยงานรัฐบาล โดยเป็นภาพที่แมร์เคลยืนเท้าแขนกับโต๊ะประชุม มองหน้าทรัมป์ที่นั่งกอดอกท่ามกลางผู้นำประเทศสมาชิกจี7 คนอื่นๆ ถูกผู้ใช้สื่อโซเชียลตีความว่าเป็นการแสดงความไม่พอใจต่อทรัมป์ และสะท้อนความตึงเครียดระหว่างการประชุม แต่ทางการเยอรมนีไม่ได้ออกมาชี้แจงเบื้องหลังการตัดสินใจเผยแพร่ภาพดังกล่าวแต่อย่างใด

ส่วนเว็บไซต์ฟอร์จูน เผยแพร่บทความวิพากษ์วิจารณ์ว่าทรัมป์อาจจะเข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องดุลการค้า และมองว่าสหรัฐฯ ขาดดุลด้านการส่งออกของภาคอุตสาหกรรมเกษตรรวมกว่า 800,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ให้แก่ประเทศจี7 และสหภาพยุโรป แต่กลับไม่ได้คำนึงถึงภาคบริการที่หลายประเทศต้องพึ่งพาสหรัฐฯ และเศรษฐกิจภาคบริการกำลังได้รับผลกระทบอย่างหนักจากนโยบายอเมริกาต้องมาก่อนของรัฐบาลทรัมป์

บทความของฟอร์จูนระบุว่านับตั้งแต่ทรัมป์ออกนโยบายกีดกันผู้อพยพและเพิ่มอัตราภาษีสถาบันการศึกษา ทำให้นักเรียนนักศึกษาต่างชาติเดินทางเข้ามาเรียนในสหรัฐฯ น้อยลง ทั้งที่รายได้จากค่าเล่าเรียนของนักเรียนต่างชาติก็เป็นปัจจัยขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ แต่กลับไม่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลทรัมป์

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: