ไม่พบผลการค้นหา
'ศรีสุวรรณ' ลุยร้อง นายกฯขอให้ส่งสัญญาณไปที่ สนช.ทบทวนแก้กฎหมายยื้อเลือกตั้งอีก 90 วัน ชี้แม่น้ำ 5 สายผลประโยชน์ทับซ้อน

นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมาที่ศูนย์บริการประชาชนสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อยื่นหนังสือถึงพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. เพื่อขอให้ทบทวนร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. ไม่ให้มีการขยายเวลาการบังคับใช้กฎหมายออกไปอีก 90 วัน จนอาจทำให้โรดแมปเลือกตั้งต้องเลื่อนออกไปเป็นต้นปี 2562 ซึ่งส่อไปในทางขัดกันแห่งผลประโยชน์ และทุจริตต่อหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 185 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน พ.ศ.2542 โดยชัดแจ้ง

นายศรีสุวรรณ ระบุว่า คณะกรรมาธิการ (กมธ.)วิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เสนอปรับแก้มาตรา 2 ให้มีผลบังคับหลังประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว 90 วัน ถือได้ว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ของเหล่าสมาชิก สนช. และเพื่อประโยชน์ของมวลสมาชิกอื่นที่อยู่ในกลุ่มผลประโยชน์เดียวกันกับรัฐบาลและ คสช. หรือที่เรียกว่าแม่น้ำ 5 สาย ที่ยังคงจะยืดระยะเวลาการได้รับเงินเดือนและค่าตอบแทน และผลประโยชน์อย่างอื่นจากเงินภาษีของประชาชนออกไปอีก 90 วัน ซึ่งจะทำให้สมาชิก สนช. 250 คน รัฐต้องจ่ายเงินค่าตอบแทนให้ประมาณ 28,390,000 บาทต่อเดือน หรือรวม 90 วัน จำนวน 85,170,000 บาท และยังรวมรายได้เป็นเงินประจำตำแหน่งของหัวหน้า คสช. อีก 125,590 บาทต่อเดือน ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นใน คสช.อีก 119,920 บาทต่อคนต่อเดือน

การที่ กมธ.เสนอให้กฎหมายดังกล่าวบังคับใช้หลังประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษา 90 วัน จะมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของนายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลโดยตรง เพราะหัวหน้า คสช.เคยประกาศไว้ว่ารัฐบาลจะจัดเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายน2561 จึงขอให้พลเอกประยุทธ์ ส่งสัญญาณไปยังประธานและ สมาชิก สนช.ทบทวนร่าง พ.ร.บ.ประกอรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ไม่ให้มีการขยายการบังคับใช้กฎหมายออกไป 90 วัน อันส่อไปในทางขัดกันแห่งผลประโยชน์และทุจริตต่อหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ

ด้าน นายพลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ อดีตส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย ให้ความเห็นว่าจากผลสำสำรวจความคิดเห็นประชาชน ร้อยละ 70.6 เห็นว่านายกฯควรมาจากการเลือกตั้ง ว่า เป็นการสะท้อนชัดเจนว่าประชาชนส่วนใหญ่ต้องการเลือกผู้บริหารประเทศเอง ไม่ยอมรับคนที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง รัฐบาลนี้ หรือใครที่อยากเข้ามาอยู่ในอำนาจต่อต้องทบทวนเรื่องนี้ให้ดี และเรื่องนี้ก็มีนัยชี้ให้เห็นว่าประชาชนเห็นว่าการเลือกตั้งคือหัวใจของโอกาสวันข้างหน้า