"การเลือกตั้งที่มาเลเซียได้สอนบทเรียนสำคัญให้กับคนไทย ที่เคยถูกเผด็จการและสมุนบริวารหลอกต้มเพื่อยึดอำนาจการปกครอง เพราะมาเลเซียและชาติที่เจริญทั้งหลายได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ระบอบประชาธิปไตยสามารถแก้ไขปัญหาได้ทุกเรื่อง" นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงระบุในโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัว เมื่อช่วงเช้านี้ผ่านมา
เขายังวิพากษ์อย่างเผ็ดร้อนด้วยว่าการยึดอำนาจในปี 2557 ได้สร้างความเสียหายต่อบ้านเมืองอย่างมาก และใช้งบประมาณมากที่สุด
"การยึดอำนาจครั้งนี้สร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อบ้านเมือง ใช้งบประมาณมากที่สุดแต่ประชาชนก���ับได้รับความทุกข์ยากมากที่สุด อันเนื่องมาจากการบริหารที่ไร้ประสิทธิภาพของเหล่าทหารเกษียณที่อยากมีอำนาจแต่ขาดสติปัญญา"
นายวัฒนาชี้ว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมาได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าข้ออ้างในการยึดอำนาจไม่ว่าจะเป็นการรักษาความสงบ การสร้างความปรองดอง การปฏิรูปและการคืนความชอบธรรมให้กับทุกฝ่ายตามที่ปรากฏในประกาศ คสช. ฉบับที่ 1/2557 เป็นเพียงข้ออ้างเพื่อเข้าสู่อำนาจโดยไม่ต้องเลือกตั้ง ส่วนการทุจริตที่เกี่ยวข้องกับคนในกองทัพและพรรคพวกไม่ได้รับการสะสาง ป.ป.ช. ถูกใช้เป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้ามแต่ฟอกขาวให้ฝ่ายเผด็จการ คณะรัฐประหารยังได้ทำลายกลไกในระบอบประชาธิปไตย ทำลายหลักนิติธรรมและละเมิดสิทธิมนุษยชน รวมทั้งสืบทอดอำนาจเผด็จการต่อไปแต่ไม่ยอมรับผิดชอบด้วยการนิรโทษกรรมตัวเองล่วงหน้า
"ภาระสำคัญหลังการเลือกตั้งคือการฟื้นฟูระบอบประชาธิปไตย รวมถึงการปฏิรูปกองทัพเพื่อไม่ให้ผู้หนึ่งผู้ใดใช้กองทัพเป็นเครื่องมือทำลายระบอบประชาธิปไตยอีก ที่สำคัญคือการนำตัวผู้ที่ทำรัฐประหารและสร้างความเสียหายให้บ้านเมืองมาลงโทษ ซึ่งไม่ใช่การแก้แค้นแต่เพื่อหยุดวงจรอุบาทว์และนำหลักนิติธรรมอันเป็นขื่อแปของบ้านเมืองกลับคืนมา ทั้งหมดจะสำเร็จได้ก็ด้วยฉันทามติจากประชาชนผ่านกลไกการเลือกตั้ง จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการยื้อการเลือกตั้งตลอดมา เราจะทนกันต่อไปแบบนี้ใช่ไหม" นายวัฒนาตั้งคำถาม
ผลของชัยชนะของมหาเธร์ มูฮัมหมัดผู้เคยครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย 2 สมัยและกลับมาพลิกชนะพรรคแนวร่วมรัฐบาล UMNO ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาตร์การเมืองมาเลเซีย ทำให้หลายฝ่ายจับตามองการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึน และสร้างข้อวิพากษ์วิจารณ์อย่างคึกคักเชื่อมโยงกับการเมืองไทยในโซเชียลมีเดียของไทยในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
น.พ.มหาเธร์ในวัย 92 ปี ซึ่งกำลังจะกลายเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุมากที่สุดในโลก เคยเป็นส่วนสำคัญของแนวร่วมพรรครัฐบาลบีเอ็น และเคยเป็นผู้ให้คำปรึกษาและเป็นครูทางการเมืองแก่นายนาจิบ แต่ได้ถอนตัวออกจากแนวร่วมในปี 2016 เพราะขัดแย้งกับนายนาจิบในหลายเรื่องด้วยกัน โดยเฉพาะเรื่องที่นายนาจิบถูกกล่าวหาว่าพัวพันการทุจริต นำเงินจากกองทุนวันเอ็มดีบีของรัฐบาลเข้ากระเป๋าตัวเองเป็นเงินกว่า 700 ล้านดอลลาร์ ซึ่งข้อกล่าวหานี้มีส่วนอย่างสำคัญที่ทำให้คะแนนเสียงของแนวร่วมพรรครัฐบาลลดลงอย่างมาก โดยเฉพาะในเขตเมืองใหญ่
เมื่อได้ชัยชนะ เขากล่าวว่า "เราจะไม่แก้แค้น เราจะทำให้บ้านเมืองกลับสู่สภาพมีขื่อมีแปอีกครั้ง แต่ใครก็ตามที่ทำผิดกฎหมายจะต้องขึ้นศาล" อย่างไรก็ตาม ในช่วงสุดสัปดาห์มีรายงานว่าอดีตนายกรัฐมนตรีนาจิบ ราซักและภรรยาถูกสั่งห้ามมิให้เดินทางออกนอกประเทศ หลังจากมีความกังวลจากหลายฝ่ายว่าจะพยายามหลบหนีออกนอกประเทศ หลังจากมีข่าวทุจริตเงินกองทุน 1 MDB
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
เลือกตั้งมาเลเซียพลิกล็อก มหาเธร์ประกาศชัยชนะ
อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียและภรรยาถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ