นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่าระยะเวลา 70 วันของการหาเสียงเลือกตั้ง ที่รัฐบาลเชื่อว่าสามารถดำเนินการหาเสียงและจัดทำนโยบายทันนั้น รัฐบาลนี้ดำเนินการเมืองแบบรัฐราชการ และเคยชินกับการเป็นผู้สั่งการ กำหนดชีวิตของพี่น้องประชาชนมาโดยตลอด ดังนั้น สิ่งที่พรรคเพื่อไทยเสนอ คือ การคืนกลับสู่ความเป็นประชาธิปไตยปกติ ให้ประชาชนเลือกชีวิตของตัวเอง ไม่ใช่ตัวเองเป็นผู้กำหนดทุกอย่าง พล.อประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี หรือรัฐบาลทั้งหลาย อาจจะไม่เข้าใจจุดยืนของประชาชนจึงได้แต่สั่งการเพื่อให้คนอื่นปฏิบัติตามแต่สิ่งที่ตัวเองต้องการให้ทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผิดไปจากหลักการประชาธิปไตย ดังนั้น สิ่งที่พล.อ.ประยุทธ์ควรทำวันนี้คือยกเลิกสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเป็นประชาธิปไตยทั้งหมด คืนกลับสู่ความเป็นปกติ ถอนตัว ให้กองทัพกลับคืนสู่ระบบปกติ แล้วให้ประชาชนเข้ามาตัดสินอนาคตของตัวเอง
นายภูมิธรรม ยังกล่าวถึงแนวคิดการห้ามใช้สื่อโซเชียลมีเดียในการหาเสียง ว่า หากผู้มีอำนาจทำจริงจะทำให้ประเทศไทยตกต่ำ การที่รัฐบาลจะควบคุมเรื่องนี้จะเป็นการปิดกั้นพี่น้องประชาชน และเป็นการประกาศให้โลกรู้ว่ารัฐบาลจะเป็นผู้กำหนดชะตาชีวิตของประชาชนในประเทศนี้ด้วยตัวรัฐบาลเอง เท่ากับจะพากันถอยหลังเข้าคลอง แล้วทำให้ประเทศชาติประสบความวิบัติในอนาคต
ด้าน นายจาตุรนต์ ฉายแสง แกนนำพรรคเพื่อไทย ระบุว่า หากนายกรัฐมนตรีจะตัดสินใจเล่นการเมืองควรลาออกเพื่อแสดงสปีริตก่อนลงเล่นการเมืองอย่างเต็มตัวในการเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ว่า การเป็นหัวหน้า คสช.ด้วย และจะเสนอตัวเพื่อเป็นนายกรัฐมนตรี ในครั้งหน้าตั้งแต่เนิ่นๆก็ย่อมมีความขัดแย้งในตัวเอง เพราะเป็นนายกฯ ที่ใช้อำนาจอะไรได้เกินกว่านายกรัฐมนตรีปกติ
"ความจริงแล้วนายกรัฐมนตรี ที่จะเดินเข้าสู่การเลือกตั้งต้องใช้อำนาจน้อยลง แต่ พล.อ.ประยุทธ์กลับยังใช้อำนาจอย่างเต็มที่ สามารถโอนงบประมาณหน่วยงานไหนมาเป็นงบประมาณกลางก็ได้ ใช้งบได้ตามใจชอบไม่จำกัด และที่สำคัญยังเป็นหัวหน้าคสช.ซึ่งมีอำนาจพิเศษเบ็ดเสร็จด้วยในตัว ดังนั้น ก็จะมีปัญหาแน่นอน จะมีความไม่สุจริตเที่ยงธรรม"
นายจาตุรนต์ ระบุด้วยว่า การเรียกร้องให้นายกฯ ลาออกเมื่อประกาศตัวจะเป็นนายกฯคราวหน้าก็ดูจะเป็นเรื่องยากเกินไป เพราะ พล.อ.ประยุทธ์คงไม่ยอม แค่ตั้งใจจะเป็นนายกฯก็ผิดอยู่แล้ว การเข้ามายึดอำนาจโดยบอกว่าจะเข้ามาเป็นกรรมการกลาง จะเป็นคนจัดการให้เกิดความยุติธรรม แล้วให้พรรคการเมือง และนักการเมืองแก้ปัญหากันไปแล้วให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน แต่สุดท้ายกลายเป็นผู้วางยุทธศาสตร์ทั้งหมดเพื่อจะยึดอำนาจ และเพื่อจะสืบทอดอำนาจต่อไปอีก 10-20 ปี แบบนี้ไม่มีความชอบธรรม
ส่วนระยะเวลา 70 วันของการหาเสียงและจัดทำนโยบายพรรคการเมืองอาจไม่เพียงพอ เพราะการทำนโยบายที่ดีไม่ใช่นั่งในห้องแอร์แล้วเขียนนโยบายตามใจชอบ ต้องมีการสื่อสารกับประชาชนหลายๆฝ่าย และนักวิชาการ จะต้องมีการประชุมปรึกษาหารือกัน แต่ถ้ามาจำกัดว่านี่คือการชุมนุมมั่วสุมทางการเมืองเกิน 5 คน ก็ทำไม่ได้ แล้วจะหาเสียงอย่างไร เมื่อยังไม่มีนโยบายที่ชัดเจน นี่เป็นการจงใจที่จะทำลายพรรคการเมืองทั้งระบบ และทำลายการเลือกตั้งทั้งหมด เป็นเจตนาที่ไม่สุจริตของ คสช.
'อนาคตใหม่' แย้ง 60 วันไม่พอหาเสียง ยังถูกคุมด้วยกฎเหล็ก คสช.
ขณะที่ น.ส.พรรณิการ์ วานิช ว่าที่โฆษกพรรคอนาคตใหม่ ระบุว่า การปลดล็อกให้พรรคการเมืองหาเสียงในช่วงกลางเดือน ธ.ค. มีเวลาหาเสียงเพียง 60 วัน นั้น พรรคอนาคตใหม่เรียกร้องมาตลอดว่า คสช.ต้องปลดล็อกพรรคการเมืองและคำสั่งคสช.อื่นๆที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพทางากรเมืองของประชาชน โดยเฉพาะคำสั่งห้ามชุมนุมทางการเมืองตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป เพราะการเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้งที่เสรีเป็นธรรม ต้องให้พรรคการเมืองประกาษศแนวทางอุดมการณ์ นโยบายให้มากที่สุด เพื่อให้ประชาชนมีข้อมูลเต็มที่ในการตัดสินใจการเลือกตั้ง ยิ่งปลดล็อกช้า จะทำให้การเลือกตั้งไม่เสรีและเป็นธรรม หากถามว่า 60 วันหาเสียงพอหรือไม่นั้น ในเวลาปกติเมื่อมีการยุบสภา ทุกพรรคการเมืองต้องทำงานให้ทันตามเงื่อนไขทางกฎหมาย แต่ในช่วงเวลาที่พรรคการเมืองจะประชุมทจะทำกิจกรรมอะไรต้องขออนุญาตจาก คสช. มีตำรวจ ทหารคอยติดตามในพื้นที่ ดังนั้น เวลา 60 วันอาจทำให้พรรคการเมืองทำงานยึดโยงกับประชาชนและสมาชิกพรรคได้ไม่เต็มที่