การอ่านนิยาย 500 กว่าหน้า ไม่เคยเป็นเรื่องที่ง่ายเลย แม้กระทั่งกับเราที่นิยมชมชอบการอ่านหนังสือเอามากก็ตาม แต่ด้วยชื่อนักเขียนที่เราติดตามมาตลอดอย่าง 'แดน บราวน์’ มันเลยกลายเป็นภาระหน้าที่ที่ต้องอ่านให้จบอยู่ดี
ออริจิน ให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับ แฮรี่พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม ด้วยเหตุว่าทั้ง 2 เล่ม นอนอยู่บนชั้นวางหนังสือเป็นเวลานานมากกว่าจะหยิบขึ้นมาอ่านจริงๆ แฮรี่ เล่ม 6 เราซื้อมา 2 ปี ถึงจะยอมอ่าน ส่วนออริจิน คิดว่าใช้เวลาทำใจสัก 2 – 3 เดือน ทั้งนี้และทั้งนั้น นอกจากเวลาทำใจที่นานโขขนาดนั้นแล้ว เวลาจุดไฟในการอ่านให้ติดก็นานไม่แพ้กัน
ปัญหาของนิยายที่ยาวเป็นหลายร้อยหน้า ด้วยข้อสังเกตในฐานะนักอ่าน (โปรดอย่ามีนักเขียนคนไหนคิดว่าเราไม่เคารพงานของคุณเลย) คือมันต้องใช้เวลาในการเกริ่นเข้าเรื่องค่อนข้างเยอะ และสำหรับ ออริจินของเราคือ ประมาณ 50 จากทั้งหมด 105 บท นั่นแหละค่ะคุณ ให้ตายเถอะ กว่าจะอ่านผ่าน 20 บทแรกอันน่าเบื่อเข้าขั้นจะร้องไห้ก็ปาไปแล้วเป็นเดือน อารมฌ์ว่าฉันทรมารอ่านสิ่งนี้ไปทำไม
แต่เมื่อคุณผ่านมันมาแล้ว ก็ขอต้อนรับเข้าสู่ช่วงเนื้อหากันดีกว่า เราขอสาบานว่าเราพยายามอย่างมากที่จะไม่สปอยเนื้อเรื่องในบทความชิ้นนี้ แต่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ที่จะเล่าบางสิ่งบางอย่างให้ฟัง เริ่มจากตัวละครที่เราชื่นชอบที่สุดในเรื่องนี้ และอาจจะชอบที่สุดในบรรดาตัวละครทั้งหมดของ แดน บราวน์ เลยด้วยซ้ำ ซึ่งก็คือ 'วินสตัน’ หุ่นยนต์สุดฉลาดที่เข้ามาช่วย ศ.แลงดอน ไขปัญหาปริศนาเอไอถล่มศาสนาตลอดทั้งเรื่อง ขณะเดียวกันเรากลับมองว่า ศ.แลงดอน อันเป็นที่รักช่างน่าเบื่อเหลือเกิน ตัวละครยังคงเป็นแบบเดิมๆ แม้นี่จะเป็นเนื้อเรื่องที่ฉายอยู่บนฉากหลังของความแปลกใหม่บ้างแล้วก็ตาม ซึ่งก็ไม่อาจรู้ได้ว่าแดน บราวน์ จงใจคงลักษณะของ ศ.แลงดอน เอาไว้ หรือหมดมุกไปแล้ว
นอกจากนี้ หากว่ากันในเชิงวิจารณ์แล้ว เรารู้สึกว่าแดน บราวน์ ตัดสลับฉากมากและไวจนเกินไป รสชาติของการอ่านหนังสือควรทิ้งความละเมียดละไมไว้บ้าง การตัดสลับไปมาภายในระยะการอ่านไม่กี่หน้านัก ดูออกจะไปในทางรบกวนมากกว่าเพิ่มอรรถรส ทั้งนี้ เราก็ต้องขอเอ่ยปากชมไม่น้อยกับบทสนทนาที่เกิดขึ้นในหนังสือเล่มนี้ เพราะมีบางช่วงบางตอนพูดถึงประเด็นเรื่องความรักได้ดีจับใจ จนทำเอาเขิลได้ไม่น้อย
ส่วนประเด็นเนื้อเรื่อง ก็อย่างที่เราบอกว่ามีการปะทะกันของศาสนาและวิทยาศาสตร์หรือในที่นี้ก็คือปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ ช่วงนี้แม้เรื่องจะดำเนินไปอย่างเนิบนาบ แต่เมื่อถึงจุดคลี่คลายหลังไคลแม็กซ์เราว่ามันขมวดปมได้ดี ขณะเดียวกันในช่วงความเนิบนาบของการแสดงเนื้อหาก็สามารถสอดแทรกความเป็นคน การเอาตัวรอด ทัศนคติที่ยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมๆ ของผู้คนได้อย่างดีเยี่ยม
นิยายเล่มนี้จุดหักมุมอยู่บ้าง แต่จุดที่เราไม่คิดไม่ฝันที่สุด ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ของเรื่องทำให้เราน้ำตาไหลได้เหมือนกัน อาจไม่ใช่ว่าเป็นความเศร้าใจจากสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เป็นความรู้สึกที่คิดว่าไม่ควรจะรู้สึกมากกว่า
เรามีอีกสองสามอย่างที่อยากจะพูดถึงออริจิน ประเด็นแรกคือ แดน บราวน์ ไม่ว่าจะสร้างความน่าเบื่ออะไรในขณะอ่านไว้บ้าง แต่ก็ยังคงมีศิลปะในการโน้มน้าวให้เราอยากไปดูภาพวาดหรืองานปั้นต่างๆ ที่ถูกเอ่ยในหนังสือเสมอ ยังเป็นนักเขียนที่ปลุกจิตวิญญาณการเสพศิลปะได้ตลอดมาและคิดว่าจะตลอดไป ส่วนอีกประเด็นนึงจะออกไปในทางติซะเป็นส่วนใหญ่ว่า ตัวแดน บราวน์ เองทำผลงานในเชิงที่ตัวเองถนัดได้ดีมาตลอด เพราะฉะนั้นหากคุณมาหยิบออริจินอ่านเป็นเรื่องแรก คุณจะตื่นตาตื่นใจกับสิ่งนี้ แต่ถ้านี่เป็นเล่มที่ 3, 4 หรือ 5 ของคุณแล้ว มันจะไม่เป็นเช่นนั้น
ยังไงก็ขอให้ลองเปิดใจหยิบหนังสือ 500 กว่าหน้านี้ขึ้นมาดูแล้วกัน ถ้าเพียงแต่ผ่าน 20 หรือ 50 บทแรกไปได้ มันจะมีของดีรออยู่ และ "ฉันรักเธอเหลือเกิน...วินสตัน”