เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ ภายในงาน Dinner Talk Thailand's Future อนาคตประเทศไทย 2024 ว่า เรื่องที่สะเทือนใจใน 10 วันที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ทุกคนทราบกันดีคือสงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาสที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก หากไม่พูดถึง การเมืองในภาคใหญ่ พูดถึงภาพเราต่อให้เห็นว่าทำไมรัฐบาลเรา จึงต้องทำงานอย่างหนักกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อปากท้องให้ดีขึ้นและเหมาะสมและรวดเร็วที่สุด ทำไมจึงต้องซ่อมเศรษฐกิจซ่อมความเป็นอยู่ของเขาที่ลำบากมาตลอด
เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์ที่เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึง ความเหลื่อมล้ำของสังคมไทยในหลายๆมิติ หากติดตามจากตนให้อัพเดทสถานการณ์อิสราเอล เมื่อวานนี้มีการให้สัมภาษณ์ไปว่าตนขอร้องวิงวอนอ้อนวอนให้คนงานที่อยู่ในอิสราเอลเดินทางกลับไทย โดยในปัจจุบันกระทรวงการต่างประเทศ ได้ทำงานหนักเพื่อนำคนกลับมาให้ได้วันหนึ่งเฉลี่ยประมาณ 800-1,000 คน แต่ว่าก็มีคนเปลี่ยนใจไม่กลับ
เพราะว่าทางนายจ้างบอกว่าจะให้เงินเพิ่มมากขึ้น จะจ่ายเงินอีกครั้งในวันที่ 10 พฤศจิกายน โดยต้องมองว่าการให้เงินเพิ่มมากขึ้นนั้นคุ้มหรือไม่กับความเสี่ยง คนที่อยู่ดินแดนที่มีความเสี่ยงจะหาเงินกลับมาจนเจอครอบครัวอีกหลายแสนหรือถึงล้านคน เขาไม่มีทางเลือกเพราะประสบความลำบาก ยอมเสียชีวิตเพื่อจะอยู่ต่อ ซึ่งนายจ้างจับจุดถูก เป็นที่น่าสลดใจ แต่ตนไม่รู้ว่าอีก 10 กว่าวันที่เหลือแรงงานจะเปลี่ยนใจกลับมาหรือไหม
ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่อให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของสังคมไทย โดยมาตรการระยะสั้นที่รัฐบาลได้ออกไปไม่ว่าจะเป็นพักหนี้เกษตรกรลดค่าไฟลดค่าน้ำมัน เหล่านี้เป็นมาตรการกระตุ้นระยะสั้น รวมถึงดิจิทัลวอลเล็ต ตนเชื่อมั่นหลายท่านในที่นี้อาจไม่เห็นด้วย หรือเห็นด้วยแต่อาจจะอยากให้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หรือเห็นด้วยหมดเลย ซึ่งรัฐบาลพร้อมฟังเสมอ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จำเป็น
เพราะเศรษฐกิจไทยต้องการการกระตุ้น เพราะประชาชนที่อยู่ฐานรากประสบความลำบาก การที่เรากระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ให้ครัวเรือนละ 10,000 บาท ซึ่งสามารถนำเงินเหล่านั้นไปก่อร่างสร้างตัวได้ ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าทำไมต้องจำกัดระยะทาง ทำไมต้อง 4 กิโลเมตร เนื่องจากไม่อยากให้คนนำเงินมาใช้ในเมืองใหญ่
แต่อยากให้ร้านค้าในพื้นที่ต่างๆได้ลืมตาอ้าปากจากตรงนี้ ส่วนที่มีการตั้งคำถามว่าทำไมถึงไม่จ่ายเป็นเงินสดเพราะไม่อยากให้นำเงินมาใช้ในพื้นที่กรุงเทพฯได้ ซึ่งทุกอย่างจะค่อยๆคลี่คลายและอธิบายให้ฟังต่อไปเมื่อโครงการทั้งหมดนี้จบสิ้น ซึ่งเรามั่นใจว่าที่มาที่ไปของเงินและข้อเสนอแนะของหลายภาคส่วนที่เสนอแนะเข้ามา
เศรษฐา กล่าวยืนยัน ว่าความเหลื่อมล้ำของเศรษฐกิจของประชาชนคนไทย เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงอีกประเทศหนึ่ง หากลงไปยังพื้นที่ต่างจังหวัดพูดคุยกับประชาชนปัญหานี้เป็นปัญหาใหญ่มาก เป็นปัญหาที่ต้องการการแก้ไข เงินดิจิทัล 10,000 บาทของแต่ละคนสามารถไปเปลี่ยนอาชีพเขาได้ มีหลายเสียงบอกว่ามีแต่การกระตุ้นเศรษฐกิจประชานิยม ไม่ใช่เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะยาว
แต่ตลอดระยะเวลาไม่ถึง 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลนี้เห็นความสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะกลางและระยะยาว ซึ่งการที่ตนเดินทางไปยังต่างประเทศ และในช่วงเดือนหน้าจะเดินทางไปประชุมเอเปคก็น่าจะมีข่าวดีทั้งของบริษัท Microsoft และ Google สิ่งเหล่านี้จะเป็นการสร้างรากฐานการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะกลางและระยะยาว
และเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาเดินทางไปยังประเทศจีน มีสมาคมธนาคาร หอการค้าไทย ประธานอุตสาหกรรม ตนก็ไปพูดให้ในเวทีการประชุม ปิดห้องคุยกัน 40-50 คนว่ารัฐบาลนี้จะไม่มีการเหนียมอายในการที่เราเอาเอกชนไปเมื่อรัฐบาลเดินทางไปต่างประเทศ โดยรัฐบาลจะเป็นตัวกลางให้ทุกคนเข้าถึงสินค้าและการให้บริการต่างๆที่คนไทยสามารถ offer ได้
ซึ่งในปัจจุบันนี้ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการลงทุนสูงสุดในเรื่องของ EV ซึ่งไม่ใช่ผลงานของรัฐบาลนี้ แต่เป็นของรัฐบาลเก่า แต่รัฐบาลนี้มาสานต่อ ซึ่งจะมีโรงงานผลิตรถยนต์ EV อีกหลายรายจะเข้ามา โดยจะต้องส่งเสริมในลักษณะซัพพลายเชน
ขณะเดียวกันนายกรัฐมนตรี ยังกล่าวถึง การเดินทางไปยังซาอุดิอาระเบีย เพื่อพบกับบริษัทชั้นนำ พร้อมที่จะมาลงทุน เป็นเรื่องที่รัฐบาลให้ความสำคัญ นโยบายการส่งออกเนื้อโค ตนไม่แน่ใจว่าวันนโยบายนี้ถูกต้องหรือไม่แต่หากมีตลาดก็ถือว่าถูกต้อง ตนไปบูรไน และมาเลเซีย รวมไปถึงซาอุดิอาระเบียได้ ไปพูดคุยถึงเรื่องนี้ทุกประเทศมีความต้องการโคสูงมาก
ซึ่งจะเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรทั้งหลายให้เป็น 3 เท่าใน 4 ปี ไม่ใช่แค่การอัพราคาสินค้า แต่นำอาชีพไปเสริม ไม่ใช่เพียงปลูกข้าวอย่างเดียวแต่ให้เลี้ยงโคสักด้วย ส่วนเรื่องการพักหนี้เกษตรกรชั่วคราว เพื่อให้ได้มีขวัญและกำลังใจที่จะทำธุรกิจอื่น ไม่ต้องคำนึงว่าแต่ละเดือนจะสามารถใช้หนี้ได้เท่าไร ซึ่งจะส่งผลทำให้เกษตรกรมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
ขณะที่เรื่องรถไฟความเร็วสูง ตนได้หารือร่วมกับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน เพื่อเพิ่มศักยภาพต่อจิ๊กซอว์ One Belt One Road ที่จะทำให้ต่างชาติมั่นใจ และย้ายฐานการผลิตมายังที่นี่ ซึ่งเป็นการยกระดับทำให้ไทยเป็นโลจิสติกส์ฮับระดับโลก แต่ไม่ใช่ว่าจะแย่งธุรกิจจากมะละกาหรือสิงคโปร์ แต่การที่เรามีการลงทุนตรงนี้จะร่นระยะเวลาในการคนไทยสินค้า ได้ถึง 9 วัน ซึ่งตนไม่แน่ใจว่า 4 ปีจะได้ลงมือหรือไม่แต่แน่นอนว่าจุดเริ่มต้น โดยรัฐบาลนี้จะเริ่ม โครงการแลนบริจเพื่อ สร้างศักยภาพในการแข่งขันของคนไทยทุกคน
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การที่ตนกล่าวมาไม่ใช่เพียงแต่ประชานิยมอย่างเดียวแต่เป็นการเติมเคเชฟในช่วงที่ขาดหายไป จะเป็นเรื่องที่เราต้องช่วยกันให้การสนับสนุน นโยบายการเงินการคลังที่ดี ไม่ใช่แค่การระมัดระวังเรื่องวินัยการเงินการคลัง แต่นโยบายการเงินการคลังที่ดี ยกระดับความเป็นอยู่ของคนไทยทุกคน โดยคำนึงถึงวินัยด้านการเงินการคลัง ซึ่งรัฐบาลนี้ทราบดี ว่าสถานภาพการเงินการคลังของเราและเป็นอย่างไร ตรงไหนที่เราทำได้ ตรงไหนที่เราควรทำ ซึ่งรัฐบาลยอมรับความเสี่ยงติชมมาตลอดรับฟังข้อเสนอแนะมาตลอด รักษาไว้ซึ่งวินัยการเงินการคลัง
ทั้งนี้นายกรัฐมนตรี กล่าวยอมรับว่า ปัญหาความขัดแย้งที่เราเกิดขึ้นในหลายๆเรื่อง หลายอย่างเกิดจากปัญหาของความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ กับคนที่มีและคนที่ไม่มี เราต้องช่วยกันมองอย่างเป็นธรรม และชัดเจน เราอยู่กันไม่ได้หากรัฐบาลไม่ช่วย แต่ต้องอยู่บนหลักการการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ตรงจุด
ขณะเดียวกันเศรษฐา กล่าวว่า ตนไม่กลัวว่าใครจะว่าว่าให้เอื้อประโยชน์ต่อเอกชนโดยรัฐบาลเป็นตัวกลางระหว่างการจับคู่เอกชนและเอกชนแต่ละประเทศ ผมเชื้อเชิญและยินดี ที่จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะเชื่อมเอกชนเข้าหากับบริษัทข้ามชาติต่างชาติที่อยากมาลงทุน รัฐบาลนี้เต็มใจที่จะช่วยเหลือ เพื่อยกระดับขีดความแข่งขันของประเทศไทยขึ้นไป
โดยนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า เรื่องที่ตนพูดเป็นเรื่องที่จับต้องได้ เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์ เรื่องความเหลื่อมล้ำยังมีอีกหลายมิติ การเห็นใจคนที่อยู่ใช้ขอบของสังคม ตนพูดซ้ำในหลายเวที เรื่องที่ทำให้ตัวเองเด่นกว่าหรือดีกว่า โฆษณาทางโซเชียลมีเดียให้เกิดการอิจฉา ริษยา การใช้ทรัพยากรของรัฐที่ไม่ถูกต้อง และยังมีการมาโอ้อวดกัน ถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำให้คนที่อยู่ฐานรากไม่สบายใจ ถ้าสังคมจะอยู่ได้อย่างเป็นสุข
"ผมว่าเรื่องเหล่านี้ต้องถูกลดทอนลงไป การที่จะทำให้เราเขาเห็นว่าเราเหนือกว่าคนอื่นดีกว่าคนอื่นแม้ว่าสิ่งที่คุณมีจะไม่ได้ผิดหรือขโมยเขามาแต่ทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจในสังคม ทำให้คนอีกหลายสิบล้านคนที่ไม่มีเยอะเท่าพวกคุณมีความไม่สบายใจ เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราทุกคน ควรที่จะตระหนักให้ดีกว่านี้เราทุกคนช่วยกันได้ดีกว่านี้ ไม่ใช่แค่เรื่องความรู้สึกอย่างเดียวไม่ใช่เรื่องของคนรุ่นใหม่อย่างเดียว ที่เราจะต้องดูแลรักษาทำให้เขาเป็นกำลังสำคัญต่อไปในอนาคตของประเทศไทย"
เศรษฐา กล่าวว่า ตนอยากให้เขาเห็นว่ารัฐบาลนี้พยายามสร้างความหวังและแรงบันดาลใจในการที่จะเดินทางไปเปิดประเทศมี Infar Structure ที่จะตอบโจทย์ เราเข้าใจคนรุ่นใหม่ที่ต้องการจะเป็นเถ้าแก่เจ้าสัว ซึ่งรัฐบาลของเราช่วยเอื้อให้เขามีโอกาสและความหวัง ให้เขาถือสินเชื่อที่มีดอกเบี้ยที่เหมาะสม นอกจากนี้รัฐบาลพยายามทำอยู่อีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสมรสเท่าเทียมความสมัครใจเกณฑ์ทหาร ทำให้เขามีสิทธิเสรีภาพในการเลือก พร้อมกับกล่าวย้ำว่าเราพยายามทำอย่างเต็มที่ไม่อยู่บนความขัดแย้ง
โดยในช่วงท้าย เศรษฐา กล่าวว่าตนเชื่อว่าหลายท่านเป็นกำลังใจให้รัฐบาล และมีข้อสงสัย และไม่มั่นใจในทิศทางที่เรากำลังเดินไป เราอยู่ด้วยกันหลายๆความคิด มาจากหลายๆที่ความเห็นต่างเป็นเรื่องที่เราควบคุมไม่ได้ แต่เป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องพยายามชี้แจง และอธิบายให้ดีที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้
"รัฐบาลนี้จะไม่เหน็ดเหนื่อยกับการที่จะต้องอธิบายให้กับทุกท่านฟังว่าทำไมจะต้องทำนโยบายอะไรออกมา เป็นหน้าที่ของรัฐบาลนี้ ผมยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่าเรามาอยู่ตรงนี้เรามาเพื่อที่จะยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนคนไทยทุกคนในทุกมิติ"
ภายหลังกล่าวปาฐกถาในงาน Dinner Talk Thailand’s Future อนาคตประเทศไทย 2024 ได้มีช่วงถามตอบในบรรยากาศแบบสบายๆ โดยนายกรัฐมนตรี ได้ตอบคำถาม เรื่องการแต่งกาย ที่ชอบสวมถุงเท้าสีสันต่างๆว่าใส่มาตั้งนานตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว ไม่ได้เลือกว่าวันไหนต้องสีไหน แต่ก็ดูตามกาลเทศะ เป็นความสุขส่วนตัว
ส่วนการเปลี่ยนเส้นทางจากธุรกิจสู่การเมือง แตกต่างกับที่คาดคิดไว้หรือไม่ นายกรัฐมนตรีระบุไม่ได้เหนือความคาดหวัง เพราะรู้ว่าต้องทำงานหนัก หลายคนเล่นการเมืองก็อยากเป็นรัฐมนตรี อยากเป็นนายกฯ ตั้งแต่อายุ 30 แต่ตนอายุ 58 ถึง 59 แล้วก็ยังไม่คิด จนกระทั่ง 2 ปีก่อนมาการเมืองจึงเริ่มคิด และสิ่งหนึ่งที่ต้องมีในการทำงาน คือ fall in love (ตกหลุมรัก) เพราะต้องอยู่ตรงนี้ถึง 4 ปี หากไม่หลงรัก ไม่มีแพชชั่น ตราบใดที่ไม่หลงรักงานที่ทำก็จะไม่ทำอย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนที่จะมาเป็นหรือไม่เป็นไม่แตกต่างกัน เพราะมองไว้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้น
พร้อมยืนยันที่บอกว่าทำงานโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยนั้น ไม่ได้เหนื่อยเพราะทำงานเสร็จก็พักผ่อน ตื่นมาก็ทำงานต่อ ไม่ได้รู้สึกเหนื่อย และไม่ว่าวิกฤตอะไรก็พร้อมสู้เพราะนายกฯทุกคนก็เจอวิกฤตต่างกัน ส่วนสิ่งที่จะได้เห็นจากรัฐบาลเศรษฐาในระยะเวลา 3 เดือน 6 เดือน 1 ปี หลังจากนี้นั้น นายก ระบุว่าบางเรื่องก็มีขีดจำกัดต่างกันไป เรื่องสำคัญที่สุดตอนนี้คือเรื่องปากท้อง วันนี้รัฐมนตรีพลังงานก็ประกาศลดราคาน้ำมัน
เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่เราดูอยู่ การกระตุ้นการท่องเที่ยวก็ยังทำต่อ อีกสองสัปดาห์ก็จะประกาศเพิ่มประเทศที่จะยกเว้นวีซ่า อาจจะมีการเดินทางไปคุยกับนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเรื่องของการสร้างสะพานข้ามแม่น้ำโกลกที่จังหวัดนราธิวาส ส่วนแผนในระยะกลางและระยะยาว อาจเห็นเรื่องของการพัฒนารถไฟรางคู่ รวมถึงแลนด์บริดจ์ และยืนยันว่าอยากให้โครงการนี้เกิดขึ้นเป็นรูปธรรมในรัฐบาลนี้