สำนักข่าวกลางเกาหลี (KCNA) รายงานในวันอังคาร (19 ธ.ค.) ว่า คิมกล่าวว่าการยิงขีปนาวุธฮวาซอง-18 เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (18 ธ.ค.) เป็นการส่ง “สัญญาณที่ชัดเจนไปยังกองกำลังของศัตรู” และ “กำหนดภารกิจใหม่ที่สำคัญบางประการ” สำหรับการพัฒนาคลังแสงนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ
“การฝึกซ้อมที่ประสบความสำเร็จเป็นการสาธิตเชิงปฏิบัติ ถึงสภาพจริงและความน่าเชื่อถือของความสามารถในการโจมตีที่น่าเกรงขาม และการป้องปรามสงครามนิวเคลียร์โดยเด็ดขาด ที่ครอบครองโดยกองทัพเกาหลีเหนือ” คิมกล่าว “จักรวรรดินิยมสหรัฐฯ และความทะเยอทะยานอันชั่วร้ายของกองกำลังบริวาร ในการเผชิญหน้าจะไม่ลดทอนความกลมเกลียวของตัวเอง”
สำนักข่าว KCNA รายงานอ้างว่า ขีปนาวุธข้ามทวีปที่ได้รับการทดสอบโดยเกาหลีเหนือในครั้งนี้ ซึ่งตามทฤษฎีแล้วสามารถยิงไปได้ไกลถึงสหรัฐฯ สามาถร่อนได้ในระยะทาง 1,002 กิโลเมตร และสูงถึง 6,518 กิโลเมตร
ในการทดสอบขีปนาวุธเมื่อวันจันทร์ ซึ่งถูกสหรัฐฯ เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นประณาม ถือเป็นการสาธิตการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปเชื้อเพลิงแข็งครั้งที่ 3 ในปีนี้ของเกาหลีเหนือ ตามหลังจากการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปในเดือน เม.ย. และ ก.ค. ทั้งนี้ ขีปนาวุธเชื้อเพลิงแข็งสามารถขนส่งได้ง่ายกว่า และยิงได้เร็วกว่าขีปนาวุธเชื้อเพลิงเหลว ทำให้ยากต่อการตรวจจับและตอบสนองได้ดีกว่าในช่วงวิกฤตทางการทหาร
การยิงขีปนาวุธข้ามทวีปฮวาซอง-18 ซึ่งตกลงในน่านน้ำทางตะวันตกของเกาะฮอกไกโดของญี่ปุ่น เกิดขึ้นหลังจากที่เกาหลีเหนือออกมาวิจารณ์โต้ตอบกันไปมากับสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (16 ธ.ค.) สหรัฐฯ และเกาหลีใต้เตือนว่า การใช้อาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือจะเป็นเครื่องหมายของสิ้นสุดลงของระบอบการปกครองของคิม
เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (17 ธ.ค.) กระทรวงกลาโหมเกาหลีเหนือตอบโต้แผนการของชาติพันธมิตรตะวันตก ที่จะรวมการฝึกซ้อมปฏิบัติการนิวเคลียร์ในการซ้อมรบร่วมประจำปีของพวกเขาในปีหน้า โดยกระทรวงกลาโหมเกาหลีเหนือระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเป็น “การประกาศอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับการเผชิญหน้าทางนิวเคลียร์”
เกาหลีเหนือมีความก้าวหน้าในการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธภายใต้การนำของคิม ซึ่งเป็นผู้นำเผด็จการรุ่นที่ 3 อย่างไรก็ดี แม้จะมีการคว่ำบาตรและประณามจากนานาชาติหลายครั้งติดต่อกัน แต่เกาหลีเหนือยังคงดำเนินการทดสอบอาวุธดังกล่าวเป็นจำนวนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2566 และเมื่อปีที่แล้ว เกาหลีเหนือได้ประกาศตัวว่าเป็นมหาอำนาจพลังงานนิวเคลียร์ที่ “ไม่สามารถย้อนกลับได้”
ที่มา: