ไม่พบผลการค้นหา
ศาลอาญาไม่ให้ประกัน ตะวัน-แฟรงค์คดี ม.116 -พรบ.คอมฯชี้ พฤติการณ์ไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมืองปั่นป่วนความสงบเรียบร้อยสังคมโดยหากปล่อยเชื่อว่าก่อเหตุอีก ทนายเล็งคุยผู้ต้องหายื่นประกันใหม่

14 ก.พ. 2567 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานสอบสวน สน.ดินแดน เดินทางมายื่นคำร้อง ฝากขัง น.ส.ทานตะวัน ตัวตุลานนท์ อายุ 22ปี หรือตะวัน นักเคลื่อนไหวอิสระ และ นายณัฐนนท์ ไชยมหาบุตร อายุ 23 ปี หรือ แฟรงค์ ผู้ต้องหาที่ 1-2 แจ้งข้อหาว่า "ร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือ หรือวิธีอื่นใด อันมิใช่เป็นการกระทำภายในความมุ่งหมายแห่งรัฐธรรมนูญหรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริตเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือกระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรหรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญาและร่วมกันกระทำด้วยประการใดอันเป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ , ทราบคำสั่งของเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามอำนาจหน้าที่ที่กฎหมายให้ไว้ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร มาขออำนาจศาลฝากขัง

คำร้องระบุพฤติการณ์ สรุปว่า วันที่ 4 ก.พ. 2567 เวลา 18.20น. นายณัฐนนท์ ผู้ต้องหาที่ 2ได้เป็นผู้ขับขี่รถยนต์ ยี่ห้อ. เอ็มจี รุ่น นิวเอ็มจี 3 สีขาว หมายเลขทะเบียน 8กจ1711 กรุงเทพมหานคร โดยมีน.ส.ทานตะวัน ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นผู้โดยสารนั่งอยู่บริเวณด้านหน้าข้างคนขับรถยนต์คันดังกล่าว เมื่อมาถึงบริเวณทางร่วมเข้าต่างระดับมักกะสัน แขวงสามเสนใน ซึ่งในบริเวณดังกล่าวนั้น ได้มี พ.ต.ท.ชญานิน พันธ์ภักดี สว.งานศูนย์ควบคุมจราจรทางด่วน 2 กก.2 บก.จร. เจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติหน้าที่ถวายความปลอดภัยขบวนเสด็จของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งจะเสด็จผ่านในบริเวณดังกล่าวนั้น ตามอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย ซึ่งได้มีการสั่งให้หยุดรถที่มาจากทางร่วมเป็นการชั่วคราวเพื่อเป็นการถวายความปลอดภัยต่อขบวนเสด็จที่กำลังจะผ่านบริเวณดังกล่าว ซึ่งในเวลาต่อมาปรากฏว่านายณัฐนนท์ ผู้ต้องหาที่ 2 ได้พยายามขับรถมาที่ด้านหน้าแต่ไม่สามารถขับผ่านไปได้เนื่องจาก พ.ต.ท.ชญานินและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติอยู่ในบริเวณนั้นได้ใช้สัญญาณมือให้หยุดจราจร ผู้ต้องหาที่2 จึงได้บีบแตรส่งเสียงดังดังต่อเนื่องยาวประมาณ 1 นาที ในลักษณะถึงแสดงถึงความไม่พอใจโดยที่ไม่มีสาเหตุใดให้ควรใช้แตร ในขณะเดียวกัน น.ส.ทานตะวัน ผู้ต้องหาที่ 1 ที่เป็นผู้โดยสารได้เปิดกระจกออกมาและกล่าววาจาส่งเสียงตะโกนโวยวายในลักษณะว่า เดือดร้อนประชาชน ภาษีประชาชน เมื่อขบวนเสด็จผ่านพ้นไปแล้วจึงได้มีการเปิดจราจรให้รถยนต์วิ่งผ่านไปไปได้ตามปกติแต่ปรากฏว่ารถคันดังกล่าวของกลุ่มผู้ต้องหากลับมีพฤติกรรมขับรถออกไปด้วยความเร็ว พ.ต.ท.ชญานิน เห็นว่ารถคันดังกล่าวมีลักษณะการขับขี่และพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อขบวนเสด็จจึงได้แจ้งวิทยุให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติภารกิจถวายความปลอดภัยทราบถึงพฤติกรรมของรถคันดังกล่าว จากนั้นรถของกลุ่มผู้ต้องหา ได้เร่งความเร็วจนประชิดรถปิดท้ายขบวนเสด็จที่บริเวณทางลงอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำหน้าที่รถปิดท้ายขบวนจึงได้สกัดกั้นรถของกลุ่มผู้ต้องหาไม่ให้แทรกเข้าไปในขบวนเสด็จได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถหยุดรถคันดังกล่าวแล้ว จึงได้เข้าไปพูดคุยแต่ปรากฏว่าผู้ต้องหาที่1 ได้ถือโทรศัพท์มือถือลักษณะขึ้นมาถ่ายทอดออกอากาศสดผ่านทางช่องเฟซบุ๊กส่วนตัวของผู้ต้องหาที่หนึ่งที่ใช้ชื่อว่า "Tawan Tantawan" อีกทั้งยังได้ส่งเสียงดังโวยวายและกล่าวถ้อยคำในลักษณะต่อว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยในขณะเดียวกันนั้นนายณัฐนนท์ผู้ต้องหาที่ 2 ซึ่งเป็นผู้ขับขี่รถยนต์ก็ยังได้บีบแตรส่งเสียงดังต่อเนื่องลากยาวในลักษณะที่แสดงถึงความไม่พอใจ ส่งเสียงดังรบกวน ก่อความเดือดร้อนรำคาญให้กับประชาชนผู้ใช้รถ.- ใช้ถนน สัญจรผ่านไปมาที่บริเวณนั้น อีกทั้งนายณัฐนนท์ฯ ผู้ต้องหาที่ 2 ยังได้กล่าววาจาในลักษณะดูหมิ่น ดูถูก เหยียดหยาม เจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่ง อันเป็นการประทุษร้ายต่อเกียรติศักดิ์ศรีข้าราชการตำรวจซึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่รับผิดชอบโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้แจ้งความผู้ต้องหาที่1 ว่า "'ร่วมกันกระทำด้วยประการใดอันเป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะ"และกล่าวหากรณีของนายณัฐนนท์ ผู้ต้องหาที่2 ว่ากระทำความผิดฐาน " ดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่. ร่วมกันกระทำด้วยประการใด อันเป็นการก่อความเดือดร้อนรำคาญในที่สาธารณะและใช้เสียงสัญญาณ เสียงยาวหรือช้ำโดยไม่มีเหตุอันควร" ให้ได้รับโทษตามกฎหมายจนกว่าคดีจะถึงที่สุด 

ต่อมา พ.ต.ท.สรัล.สุรเดชานนท์ ซึ่งดำรงตำแหน่งรอง ผกก.สส.สน.ดินแดง ได้สืบสวนหาพยานหลักฐานจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นปรากฏ เมื่อวันที่ 4 ก.พ.67 เวลาประมาณ 18.26 น.

น.ส.ทานตะวัน ผู้ต้องหาที่ 1 ได้ไลฟ์สดเหตุการณ์ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นผ่านทางเฟซบุ๊คไลฟ์ (Facebook Live) บัญชี "Tawan Tantawan" ซึ่งเป็นบัญชีเฟซบุ๊คสาธารณะที่บุคคลทั่วไปสามารถเข้าถึงได้, อีกทั้งยังมีผู้ติดตามมากกว่า 37,000 คน ซึ่งได้มีประชาชนทั่วไปเข้ามาแสดงความคิดเห็นถกเถียงกันในสังคมเป็นวงกว้าง ทั้งในทางที่ "เห็นชอบด้วย" และ ไม่เห็นชอบด้วย"สร้างประเด็นให้เกิดความแตกแยกในหมู่ประชาชน โดยไลฟ์สดดังกล่าวมีผู้เข้าชม แชร์ แสดงความรู้สึกและความคิดเห็นจำนวนมาก 

ซึ่งต่อมาเมื่อวันที 7 ก.พ. พ.ต.ท.สรัลกับพวกฝ่ายสืบสวนยังได้ตรวจสอบพบว่าเฟซบุ๊คส่วนตัวของน.ส.ทานตะวัน มีการโพสต์ภาพคลิปเหตุการณ์จากกล้องหน้ารถ คันที่ใช้ขับขี่ในวันเกิดเหตุ ซึ่งเป็นการแสดงให้ปรากฏถึงพฤติกรรมของ น.ส.ทานตะวัน กับพวก. ที่ขับรถยนต์แทรกรถยนต์ของประชาชนคันอื่นที่จอดชะลอรถอยู่ในบริเวณนั้น เพื่อพยายามจะขับแซงหน้าไปให้ใกล้กับขบวนเสด็จ ทั้งยังได้มีการบีบแตรส่งเสียงดังต่อเนื่อง อันเป็นการแสดงการต่อต้านท้าทายและดูหมิ่นพระเกียรติยศต่อขบวนเสด็จของสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะของประชาชนชาวไทยทุกคน 

ต่อมาวันที่ 13 ก.พ. พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอาญาอนุมัติหมายจับผู้ต้องหาที่ 1 และผู้ต้องหาที่2 และต่อมาเวลาประมาณ 16.45น. เจ้าพนักงานตำรวจชุดจับกลุ่มจึงได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจทำการจับกุมผู้ต้องหาทั้งสองโดยแสดงหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองบริเวณทางเดินเท้าหน้าศาลอาญา และควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้งสองส่งพนักงานสอบสวนดินแดงดำเนินคดีตามกฎหมายต่อมาเวลาประมาณ 18.10 น. พนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมแก่ผู้ต้องหาทั้งสองซึ่งไม่ยอมพิมพ์ลายนิ้วมือตามคำสั่งของพนักงานสอบสวน

เหตุเกิดบริเวณ ทางลงทางด่วนพหลโยธิน 1 (ทางลงด่วนอนุสาวรีย์) แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพ 

การกระทำของผู้ต้องหาที่ 1 เป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (2) (3) ,397 วรรคแรก ,397 วรรคสอง,

368 วรรคแรก , พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3) แก้ไขเพิ่มเติม

ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่2) พ.ศ 2560 มาตรา8 ประกอบประมวล กฎหมายอาญา มาตรา83

การกระทำของผู้ต้องหาที่ 2 เป็นความผิด ตามประมวลกฎหมายอาญา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 (2) (3) ,397 วรรคแรก ,397 วรรคสอง,

368 วรรคแรก , พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 14 (3) แก้ไขเพิ่มเติม

ตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ (ฉบับที่2) พ.ศ 2560 มาตรา8 ประกอบประมวล กฎหมายอาญา มาตรา83 พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 14 ,148 

ในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนผู้ต้องหาที่ 1 ไม่ประสงค์ให้การในชั้นสอบสวน โดยประสงค์จะให้การในชั้นศาลเท่านั้น ส่วนผู้ต้องหาที่ 2 ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และไม่ประสงค์ให้การในชั้นสอบสวน 

เนื่องจากพนักงานสอบสวนยังสอบสวนไม่เสร็จสิ้นต้องสอบสวนพยานอีก 7 ปากเป็นพยานชุดจับกุมและประจักษ์พยาน ,รอผลการตรวจลายพิมพ์นิ้วมือ และประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาที่ 1-2 ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขอหมายขังผู้ต้องหาที่1-2 ระหว่างการสอบสวนกำหนด 12 วันตั้งแต่วันที่ 14-25 ก.พ.67 

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านหากผู้ต้องหาทั้งสอง ขอปล่อยชั่วคราว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูงประกอบกับพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของผู้ต้องหาทั้งสองเป็นการกระทำโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง หากผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราวไป เกรงว่าอาจจะไปก่อเหตุอันตรายประการอื่นอีก แต่ถ้าหากศาลเห็นสมควรให้ปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสอง พนักงานสอบสวนขอให้ศาลกำหนดมาตรการหรือเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวผู้ต้องหาทั้งสองอย่างเคร่งครัด เพื่อป้องกันมิให้กระทำผิดในขณะนี้อีก ทั้งนี้จากข้อมูลและประวัติการกระทำความผิดของผู้ต้องหากับพวกพบว่าเมื่อผู้ต้องหาได้รับการปล่อยชั่วคราวแล้ว มีการกลับมากระทำความผิดลักษณะเดียวกันนี้ซ้ำอีก หากไม่มีการควบคุมกำหนดมาตรการบังคับหรือเงื่อนไขในการปล่อยตัวชั่วคราวที่เคร่งครัด เป็นการยากในการควบคุมดูแลและรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวมส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของภาพลักษณ์ภายในประเทศ

ศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตฝากขังผู้ต้องหาทั้ง 2 ได้

วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา ทางตร.สน.พระราชวัง ได้นำตัว นายนภสินธุ์ ตรีรยาภิวัฒน์ หรือสายน้ำ นักศึกษาอายุ19 ปี มาฝากขังครั้งแรก 12 วัน ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนทำให้เสียหายทำลายทำให้เสื่อมค่าหรือทำให้ไร้ประโยชน์ซึ่งโบราณสถาณฯ กรณีมีส่วนร่วมรู้เห็น กับ ผู้ต้องหาที่พ่นสีกำแพงวัดพระแก้ว และศาลอนุญาตฝากขังได้

ต่อมาในช่วงเย็น นายกฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความเปิดเผยว่า ศาลมีคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวนายนภสินธุ์ ตีราคาประกัน 3.5 หมื่นบาท โดยกำหนดเงื่อนไขก่อเหตุในลักษณะเดียวกับที่ถูกฟ้องในคดีอีก 

ในส่วนของน.ส.ทานตะวัน และนายณัฐนนท์ ศาลมีคำสั่งไม่อนุญาตปล่อยชั่วคราว โดยพิเคราะห์ความหนักเบาแห่งข้อหาและพฤติการณ์แห่งคดีแล้ว เห็นว่าข้อหาที่ผู้ต้องหาถูกกล่าวหามีอัตราโทษสูง พฤติการณ์ในการกระทำของผู้ต้องหามีลักษณะไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมืองก่อให้เกิดความปั่นป่วนต่อความสงบเรียบร้อยของสังคมโดยรวม หากให้ปล่อยชั่วคราวมีเหตุเชื่อว่าจะไปก่อเหตุอันตรายลักษณะเดียวกันนี้หรือประการอื่นอีกทั้งอาจเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงานหรือการดำเนินคดีในศาล จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว ยกคำร้อง ส่วนจะยื่นซ้ำหรือไม่ต้องปรึกษาผู้ต้องหาอีกครั้ง ในส่วนที่มีการยื่นคำร้องขอถอนประกันก็ทราบจากข่าวซึ่งผู้ต้องหายังมีคดีอื่นในศาลอาญา เเละศาลอาญากรุงเทพใต้ฯ

จริงเเล้วตะวันจะไม่ยื่นประกันในคดีนี้ด้วยซ้ำตนเป็นคนขอร้องว่าต้องไปเรียนหนังสือและมีเรื่องหลายเรื่องควรจะหาทางปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยวิธีการอื่นดีกว่าคือตัวเขาเองเค้าไม่ได้หนักใจเรื่องประกันตัว เพราะเขาเองมีความตั้งใจที่จะไม่ประกันตัวอยู่แล้ว เเต่เห็นว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรควรจะออกมาต่อสู้คดีเพราะการที่ไปถูกขังในเรือนจำมาต่อสู้คดีไม่ได้ เพราะโอกาสที่จะไปพบปะปรึกษาหารือยาก ความจริงคดีที่ศาลไม่ให้ประกันมันคือมาตรา 116 โทษไม่เกิน7 ปีมันไม่ได้สูงหรอกถ้าเทียบกับคดีมาตรา 112ก็ได้ประกันตัวในชั้นศาลมาโดยตลอด ตนยังแปลกใจกับคำสั่งศาลวันนี้ว่าโทษมันแค่7 ปี ตนก็ไม่แน่ใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ในการไต่สวนได้ความว่าผู้ต้องหาทั้งสองคนเป็นเด็กเป็นเยาวชนเป็นนักศึกษาเรียนหนังสืออยู่ ซึ่งไม่สามารถไปยุ่งเหยิงกับการสอบสวนได้ ก็คงต้องไปดูรายละเอียดอีกครั้งหนึ่งว่าเหตุใดศาลถึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวแน่นอนเป็นอำนาจของผู้พิพากษา แต่ความจริงแล้วมันมีหลักกฏหมายอยู่มันเป็นหลักนิติธรรมนิติรัฐที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าไม่ได้กระทำผิด เรื่องนี้มันไม่ใช่ปัญหาของเด็กที่ติดคุกหรอกมันเป็นปัญหาของผู้ใหญ่ในกระบวนการยุติธรรมว่าเราได้วินิจฉัยข้อมูลข้อกฎหมายถูกต้องตามหลักนิติธรรมหรือไม่ ในฐานะคนที่ทำงานตรงนี้รู้สึกว่ามันค่อนข้างที่จะตรงข้ามกับสิ่ง