ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชน สภาผู้แทนราษฎร เปิดเอกสารกล่าวถึงบุคคลผู้พานายสายประสิทธิ์ เกิดนิยม มาพบ พ.ต.อ.ธนสิทธิ์ แตงจั่น ตำรวจพิสูจน์หลักฐานคดี วรยุทธ อยู่วิทยา จนทำให้ความเห็นเรื่องความเร็วในคดีเปลี่ยนไป ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้อัยการสั่งไม่ฟ้องในคดีนั้น บุคคลดังกล่าวแม้จะเป็นอดีต ผบ.ตร. ซึ่งเป็นผู้มีอำนาจสูงสุดในการบังคับบัญชาตำรวจ มิใช่เจ้าของสำนวนคดี แต่กลับเข้ามาก้าวก่ายยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานนั้น อาจเข้าข่ายการทุจริตต่อหน้าที่ตาม พ.ร.บ. ป.ป.ช.2542 ในอดีตหรือ ปี 2561 ในปัจจุบันได้ เป็นอำนาจหน้าที่ของ ป.ป.ช. ที่จะต้องเรียกบุคคลดังกล่าวมาไต่สวน สอบสวนทำความจริงให้ปรากฏ แม้บุคคลดังกล่าวจะเกษียณอายุราชการไปเกือบ 5 ปีแล้วก็ตาม
ศรีสุวรรณ กล่าวว่า นอกจากนี้พยานผู้เชี่ยวชาญ และตำรวจเจ้าของสำนวนผู้เปลี่ยนความเห็นเรื่องความเร็วรถของผู้ต้องหาก็อาจเข้าข่ายความผิดตามไปด้วย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถูกกดดัน บังคับ ขู่เข็ญจนถึงที่สุด หรือจากการจูงใจ มีคำมั่นสัญญา ขู่เข็ญ หลอกลวงหรือโดยมิชอบประการอื่นจากผู้บังคับบัญชาหรือบุคคลใด ซึ่งจะมีผลทำให้พยานหลักฐานนั้นเป็นพยานหลักฐานที่ได้มาโดยมิชอบ
“การพิสูจน์ความจริง วรยุทธ จากหน่วยงานหรือกรรมการที่เกี่ยวข้องเริ่มงวดเข้าไปทุกขณะ พบเห็นตัวละครใหม่ๆ ที่เป็นไอ้โม่งอยู่เบื้องหลัง ที่เป็นต้นเหตุที่สำคัญที่ทำให้กระบวนการยุติธรรมขั้นต้นผิดเพี้ยนไปอย่างมาก หากรัฐบาลไม่เร่งแก้ไข เปลี่ยนแปลงปฏิรูปตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 บัญญัติโดยเร็ว โดยมิต้องลูบหน้าปะจมูก เพราะอาจจะกลายเป็นบูมเมอแรงย้อนกลับมาทิ่มแทงรัฐบาลเสียก็ได้ ที่สำคัญ ป.ป.ช. ต้องเร่งทำงานเชิงรุกอย่างรวดเร็ว ให้เป็นที่ไว้วางใจของประชาชน โดยเรียกอดีตผบ.ตร.มาไต่สวนโดยเร็ว เพราะกรณีนี้จะเป็นบทพิสูจน์ ป.ป.ช.ว่าสังคมไทยยังควรให้ความเชื่อถือที่ต้องสนับสนุนหรือควรต้องปฏิรูป ป.ป.ช. กันอย่างมโหฬารกันเสียที” ศรีสุวรรณ กล่าว