นางสาวพรรณิการ์ วานิช โฆษกพรรคอนาคตใหม่ กล่าวว่า เนื่องจากพรรคอนาคตใหม่เห็นว่าการแสดงวิสัยทัศน์ของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีเป็นเรื่องสำคัญ และควรเสียสละเวลาเล็กน้อยในการประชุมรัฐสภา เพื่อให้ประชาชนได้ฟังและทราบว่าตัวแทนของประชาชนเลือกคนที่ถูกต้องแล้วหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาการวิจารณ์นายกรัฐมนตรีเป็นไปได้ยาก แต่เมื่อประธานรัฐสภาเห็นว่าการลงมติให้แสดงวิสัยทัศน์หรือไม่จะเสียเวลา ดังนั้นพรรคอนาคตใหม่จึงถอนญัตติออก ทำให้ไม่มีการแสงดวิสัยทัศน์ของแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา ตนจึงขอใช้พื้นที่แถลงข่าวนอกห้องประชุมสภาให้นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ได้แสดงวิสัยทัศน์ให้ประชาชนได้ฟังแทน
ด้านนายธนาธร กล่าวว่า พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความจริง พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะพาประเทศไทยไปข้างหน้า ลำดับแรก นายกรัฐมนตรีแห่งความจริง นายธนาธร กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะมีการพัฒนามาก แต่ยังมีปัญหาที่รากฐาน ในช่วงการหาเสียงเลือกตั้ง ตนได้เดินทางไปทั่วประเทศ พบเห็นคนตัวเล็กๆ ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กับตน แต่ก็พบคนอีกมากที่ยังลำบาก ยากจน พบว่าจีดีพีไม่ได้สะท้อนความร่ำรวยของคนในประเทศ แต่ยังมีช่องว่างทางเศรษฐกิจอีกมาก คุณภาพการศึกษาระหว่างเมืองกับชนบทก็ยิ่งห่างกันออกไปเรื่อยๆ
จึงต้องยอมรับความเป็นจริงว่าที่ผ่านมายังแก้ไขปัญหาไม่ตรงจุด ต้องแก้ปัญหาทั้งมิติของเศรษฐกิจ การเมืองและสังคมที่มีความเกี่ยวข้องกันไปด้วยกัน เช่น การแก้ทุนผูกขาด ต้องแก้ที่ระบบอุปถัมภ์, แก้ปัญหาการศึกษา ต้องแก้อำนาจนิยม ปิดกั้นความคิดสร้างสรรค์, แก้ปัญหาภาษี ต้องแก้ปัญหาอำนาจผูกขาดอยู่กับส่วนกลาง ไม่กระจายสู่พื้นที่ นอกจากนี้ต้องเข้าใจสังคมโลก เช่น สงครามการค้า และการเปลี่ยนแปลงในยุโรป การส่งออกและการท่องเที่ยวที่ถดถอยลง ส่งผลกระทบต่อทุกคน ไม่ว่าจะคนทำงาน วัยเกษียณอายุงาน หรืออยู่ที่ไหน ก็ต่างได้รับผลกระทบจากส่ิงต่างๆ เหล่านี้แน่นนอน ดังนั้นผู้นำที่จะนำประเทศต้องการรู้เท่าทัน และวางตำแหน่งของประเทศให้เท่าทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลง ต้องอยู่กับปัจจุบันขณะ อยู่กับความเป็นจริงเพื่อขี่คลื่นโลกาภิวัตน์และใช้ประโยชน์กับมันอย่างเต็มที่
ประการที่สอง ตนพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งการเปลี่ยนแปลง กล้าฝันและกล้าผลักดันที่จะเปลี่ยนแปลง ต้องคิดอย่างเป็นระบบและทำงานเป็นทีม นายธนาธร กล่าวเสริมว่า ในอดีตประเทศไทยเคยผ่านวิกฤติมามากมาย และทุกครั้งที่เกิดขึ้น คนไทยมักจะร่วมแรงร่วมใจเพื่อผ่านวิกฤติมาด้วยกัน แต่ที่ทุกคนเจออยู่ตอนนี้ ไม่ใช่สงครามที่มีการรบพุ่งกันด้วยอาวุธ แต่ไทยเป็นเหมือนกบที่ถูกต้มในน้ำที่ร้อนขึ้นเรื่อยๆ กว่าจะรู้ตัวก็สาย เช่น การบริโภคและการลงทุนอ่อนตัวลง, หนี้ในครัวเรือนก็เพิ่มสูงขึ้น, บริษัทใหญ่กำทุนไว้ แต่บริษัทเล็กเป็นหนี้, ปัญหาการศึกษาและความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
ดังนั้นถ้าเราไม่เปลี่ยนน้ำ ก็จะสายไปแล้ว แต่สิ่งเหล่านี้ทำไม่ได้ในข้ามคืนและทำไม่ได้โดยตัวผู้นำเพียงคนเดียว เพราะปัญหามันทับถมมานาน และเกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนอย่างแน่นแฟ้น ทางออกที่ชัดเจนผู้นำประเทศต้องเผชิญหน้ากับโครงสร้างและกลุ่มทุน ดังนั้นต้องได้ผู้นำที่มีเจตนารมณ์แน่วแน่ กล้าชนกับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม และช่วยเหลือคนที่เดือดร้อนเป็นคนตัวเล็กตัวน้อยในสังคม ต้องรับฟังและยืนยันในสิทธิ์ของผู้ที่เสียเปรียบ แต่จะใช้แค่ความรู้สึกไม่ได้ ต้องทำอย่างรอบคอบ รัดกุม และคิดอย่างเป็นระบบ เราโชคดีที่อยู่ในยุคที่ข้อมูลเดินทางได้รวดเร็ว จึงไม่จำเป็นต้องเริ่มใหม่ทั้งหมด โดยอาศัยข้อมูลเหล่านี้ และประสบการณ์ที่หลายประเทศลองผิดลองถูกมาแล้ว มาประยุกต์ใช้กับปัญหาประเทศไทย ถ้าใช้เครื่องมืออย่างถูกต้องการเปลี่ยนแปลงก็จะเป็นจริง
ประการสุดท้าย ตนจะเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะพาประเทศไทยไปข้างหน้า เนื่องจากเกิดมาในยุคที่เกาหลีพัฒนาเท่ากับประเทศไทย รุ่นพ่อแม่ประเทศญี่ปุ่นเพิ่งแพ้สงคราม แต่วันนี้หลายประเทศแซงหน้าประเทศไทยไปเรื่อยๆ เช่น เกาหลีใต้, สิงคโปร์, ไต้หวัน, และมาเลเซีย และคนรุ่นลูกของเรากำลังเติบโตมาในยุคที่เวียดนามกำลังจะแซงหน้า เราได้ยินคำว่าประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนา ตั้งแต่เล็กจนโต และไม่เคยมีใครบอกว่าเราจะเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วได้อย่างไร
นายธนาธรย้ำว่า ประเทศไทยมีศักยภาพมากพอที่จะเป็นประเทศโลกที่หนึ่ง ต้องมีการกระจายความมั่งคั่งที่เป็นธรรม ปรับแต่งคุณค่าอัตลักษณ์และเอกลักษณ์ของไทยให้เป็นสากลได้เช่นกัน ถ้าตนเป็นนายกรัฐมนตรี จะทำให้คนไทยเท่าเทียมกัน เป็นภารกิจของรัฐบาลประชาธิปไตยและภารกิจของนายกรัฐมนตรีคนต่อไป ต้องยืนยันสิทธิและโอกาส และความเท่าเทียม เพราะความเท่าเทียมคือพื้นฐานที่จะทำให้ทุกคนแสดงศักยภาพได้และใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า พร้อมกันนี้การขจัดความเหลื่อมล้ำต้องไม่ใช่แค่ตัวเลขและทุกคนต้องมีสิทธิ์เข้าถึงทรัพยากรอย่างถ้วนหน้า และมีมาตรฐานที่รัฐให้บริการกับประชาชนเหมือนกับประเทศโลกที่ 1 ตนจะทำให้ประเทศไทยทะยานไปข้างหน้า อยากให้ทุกคนคิดว่าจะดีแค่ไหนที่พวกเราสามารถส่งต่อประเทศไทยที่มีความเท่าเทียม ไม่มีรัฐประหาร และอยู่ในโลกที่หนึ่ง ให้กับรุ่นลูกหลาน
ทั้งนี้ นายธนาธรยืนยันว่า จะทำงานภายใต้หลักการประชาธิปไตย และจะเปลี่ยนแปลงประเทศโดยรัฐสภาที่ยึดโยงกับประชาชน มีการถ่วงดุลและตรวจสอบ มีพระมหากษัตริย์คู่กับประชาธิปไตยอย่างมั่นคงสถาพร ต้องช่วยกันทำให้ ส.ส. เป็นผู้แทนของประชาชน ไม่ใช่ตัวแทนของอำนาจทุน หรืออำนาจทหาร และทำรัฐสภาให้เป็นสถานที่ที่เอาปัญหาของประชาชนมาถกเถียงหาทางออก ไม่ใช่สถานที่ที่คนเบื่อหน่ายสิ้นศรัทธา ตนจะทำให้คนกลับมาศรัทธารัฐสภาอีกครั้ง พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า
“ผม ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ พร้อมเป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมจะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งความจริง พร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีแห่งการเปลี่ยนแปลง และพร้อมที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีที่จะพาประเทศไทยไปข้างหน้า” นายธนาธร กล่าว