“จริงๆ อยากจะบอกว่า ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 2520เปลี่ยนจากเกษตรกรรม มาเป็นการส่งออกเทคโนโลยี ไม่อย่างนั้นคงไม่มีคนรวยในปี 2530 ไปดูว่าใครรวยปี2530 เรื่องโทรคมนาคม” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว 9ก.พ.64
แต่เพื่อความเคลียร์ สื่อจึงซักถามเพิ่มว่าช่วงปี2530 คือเรื่องยิงดาวเทียมปี2534ใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สื่อตอบแล้ว
แต่มองลึกลงไปอีก ไม่ใช่เรื่องที่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวถึง ‘ทักษิณ’ อย่างเลื่อนลอย ต้องมีอะไรมากกว่านี้ โดยวันที่ 9 ก.พ. ย้อนกลับไปเมื่อปี2544 หรือ 20 ปีก่อน คือวันที่ ‘ทักษิณ’ ขึ้นเป็น นายกฯ สมัยแรก ยุคพรรคไทยรักไทย
ส่วนเรื่อง ‘โทรคมนาคม’ หากมองลึกลงไป ก็ไม่ใช่แค่การกล่าวธรรมดาๆ ย้อนไปปี2534 ยุค รสช. นำโดย ‘บิ๊กจ๊อด’พล.อ.สุนทร คงสมพงษ์ อดีตผบ.ทหารสูงสุด ทำการรัฐประหารรัฐบาล ‘น้าชาติ’ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ
โดยในยุคนั้นได้มีการลงนามเซ็นสัญญาการดำเนินกิจการดาวเทียมสื่อสารภายในประเทศ ระหว่างกระทรวงคมนาคม กับ บริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด โดยมีระยะเวลาสัมปทาน 30 ปี คือตั้งแต่ 11 กันยายน 2534 ถึง 10 กันยายน 2564
โดยการประมูลครั้งนั้น ‘ทักษิณ’ ได้ตั้งบริษัทใหม่ในปี 2533 เพื่อทำธุรกิจดาวเทียม และเตรียมตัวเข้าร่วมประมูลสัมปทานดาวเทียม ตั้งแต่ยุครัฐบาลพล.อ.ชาติชาย โดยแข่งกับบริษัทต่างชาติและบริษัทร่วมทุนของต่างชาติอีก 5 ราย แต่เกิดเหตุการณ์ รสช. รัฐประหารขึ้นก่อน
ทำให้ ‘พานทองแท้ ชินวัตร’บุตรชาย อดีตนายกฯทักษิณ ขยับโพสต์เฟซบุ๊ก ‘จี้ใจ-แทงใจ’ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า “ใครว่างช่วยเอาคุณพ่อผม ออกจากหัวนายกฯ ตู่ทีครับ”
“ปล้นตำแหน่งนายกฯไทย จากน้องสาวพ่อผมมา 7 ปีแล้ว คุณพ่อผมไม่ได้กลับเมืองไทยมา 10 กว่าปีแล้ว ในหัวลุงยังมีแต่จ้องจะโจมตีทักษิณๆๆ อยู่นั่นแหละ
ตกลงคนที่ทำมาหากิน จนมีฐานะดีก่อนเข้าการเมืองโดยวิถีประชาธิปไตย เป็นนายกฯที่ตั้งใจทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติ บริหารประเทศไทยจนเป็นที่ยอมรับ ขึ้นเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน กลับกลายเป็นคนไม่ดี
ส่วนคนถือปืนฉีกรัฐธรรมนูญ แต่งตั้งตัวเองเป็นนายกฯ เป็นมา 7 ปี ผลาญเงินภาษีประชาชนไปร่วม 20 ล้านล้านบาท ประชาชนยิ่งจนลงเรื่อยๆ บริหารประเทศจนมีความเหลื่อมล้ำติดอันดับโลกคือคนดี ตั้งใจทำงานให้คนศรัทธา น่าจะดีกว่าเอาแต่ด่าทักษิณป่าวครับลุง” นายพานทองแท้ กล่าว
แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะออกมาชี้แจงว่า ตนพูดถึงเรื่องของเศรษฐกิจไทยโดยการเปรียบเทียบระหว่างปี 2520 และ 2530 ต้องการให้เห็นว่าการพัฒนาประเทศของเรามีการเปลี่ยนแปลงมาอย่างไร จากที่เป็นประเทศที่มีรายได้จากภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียว จากปี 2520 มาถึงปี 2530 ก็ได้มีการพัฒนาปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในเรื่องของการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมมากยิ่งขึ้น จนมาถึงทุกวันนี้ โดยมีสินค้าทั้งสองประเภทคือ เกษตรกรรมและอุตสาหกรรม ขอร้องอย่าตีความในสิ่งที่ตนพูดไปเรื่องอื่น
ทว่ายังไม่หมดเท่านี้ ทุกความเคลื่อนไหวของ ‘อดีตนายกฯทักษิณ’ ย่อมมี ‘นัยยะสำคัญ’ ให้นำมาขบคิด โดยวันที่ 6 ก.พ.ที่ผ่านมา ‘แพทองธาร ชินวัตร’ บุตรสาวคนเล็ก ได้โพสต์คลิป ‘คุณพ่อ’ ซ้อมมวยที่บ้านพัก นครดูไบ พร้อมข้อความว่า “หนุ่ม วัย 72 ส่งคลิปนี้มาให้แม่ลูกอ่อนดูว่า ฟิตร่างกายไว้ พร้อมเลี้ยงหลานธิธารแล้วค่ะ แม่อยากจะหอบลูกขึ้นเครื่องไปเดี๋ยวนี้เล๊ยยยย คิดถึงที่สุด ตาตาที่รักของหลานๆ
ทว่ากลับไม่ใช่เพียง ‘ฟิตร่างกาย’ ที่ปกติธรรมดา เพราะวันที่ 6 ก.พ. ย้อนกลับไปปี 2548 หรือ 16 ปีก่อน ตรงกับวันที่ ‘พรรคไทยรักไทย’ ได้ ส.ส. 377 ที่นั่ง ตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทยนั่นเอง
นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยยังเปิดตัว “THE CHANGE MAKER” เมื่อ 7 ก.พ.ที่ผ่านมา ผ่านแพลตฟอร์ม “THINK คิด เพื่อ ไทย” รับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการแก้ปัญหาการเมืองร่วมแสดงวิสัยทัศน์ช่วยกันพัฒนาประเทศ โดยมี ‘แม่ทัพหลัก’ คือ ‘เอิง-คณาพจน์ โจมฤทธิ์’ ผอ.ทีมคิดเพื่อไทย และโครงการ The Change maker เพื่อเฟ้นนักการเมืองรุ่นใหม่ เพิ่มภาพลักษณ์พรรคเพื่อไทย เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ โดยขับเน้นเรื่องนโยบายการพัฒนาเป็นหลัก
รวมทั้งการกลับมาอีกครั้งของ ‘พันศักดิ์ วิญญรัตน์’ อดีตผู้ร่วมก่อตั้งพรรคไทยรักไทย อดีตที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายเศรษฐกิจ 3 รัฐบาล เจ้าของฉายา ‘มันสมองแห่งชาติ’ ในการจัดพอดแคสต์ของพรรคเพื่อไทย โดย ‘พันศักดิ์’ มีผลงานในอดีตตั้งยุครัฐบาลชาติชาย คือ ‘เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า’ รวมทั้งมีผลงานในยุครัฐบาลทักษิณ ในตำแหน่ง ประธานที่ปรึกษานโยบายของนายกฯ เช่นนโยบายเอสเอ็มอี เป็นต้น ล่าสุดกับแนวคิด ‘รถไฟความเร็วสูง’ ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่เรียกได้ว่า ‘ล้ำยุคล้ำสมัย’ เสมอมา
ดังนั้นการกลับมาของ ‘พันศักดิ์’ จึงเป็น ‘สัญญาณสำคัญ’ อย่างหนึ่ง แน่นอนว่าเป็น ‘สัญญาณตรง’ ที่ยิงมาถึงพรรคเพื่อไทย เพื่อยกเครื่องนโยบายทางด้านเศรษฐกิจเป็นหลัก หลังมีการปรับทัพภายในพรรคเพื่อไทยมาแล้ว เพื่อฟื้นความนิยมของพรรค เฉกเช่น ‘ยุคไทยรักไทย’ ให้กลับมาอีกครั้ง
ดังนั้นก้าวย่างในการขยับตลอดห้วงต้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ของ ‘อดีตนายกฯทักษิณ’ และ ‘พรรคเพื่อไทย’ จึงทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ฝ่อไม่น้อย ทำให้ ‘เก้าอี้ร้อน’ จนออกอาการเช่นนี้ และเชื่อได้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ยังต้องเจอกับการเคลื่อนไหวอื่นๆ อีก
ไม่แปลกที่ชื่อ ‘ทักษิณ’ ยังคงอยู่ในหัว ‘นายกฯ ตู่’ ตลอดมา !!
ข่าวที่เกี่ยวข้อง