3 เม.ย. ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 32 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) ในญัตติการอภิปรายทั่วไปแบบไม่ลงมติตามรัฐธรรมนูญ ม.152
ประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวชี้แจงกรณีที่ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.กทม. พรรคก้าวไกลก่อนหน้า และรักชนก ศรีนอก สส. เขตบางบอน-หนองแขม พรรคก้าวไกล ได้อภิปรายก่อนหน้า โดยระบุว่า การออกอีเว้นต์ต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา มีความจำเป็น เพราะเป็นเรื่องของการสร้างเนื้อหาที่มีประโยชน์ วันนี้เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงทุกวัน ผมเองจึงต้องไปแลกเปลี่ยนข้อมูลและรับฟังบุคลากรที่เกี่ยวข้องในเรื่องต่างๆ ในวงการไอที โดยเรื่องต่างๆ ก็มาในรูปแบบงานสัมนา การแสดงวิสัยทัศน์
ในประเด็นของเทคโนโลยีบลอกเชน ประเสริฐ ชี้แจงว่า การนำเอาเทคโนโลยีนี้มาใช้ จะต้องมีเฉพาะเรื่อง ความคิดเห็นนี้เราตรงกัน ซึ่งหากเทคโนโลยีนี้ในอนาคตสามารถทำได้แล้ว ผมคิดว่ามีความโปร่งใสและสามารถตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้อยู่ในระหว่างการศึกษารูปแบบที่เหมาะสม เพื่อนำมาปรับปรุงและพัฒนาประเทศต่อไป
ต่อมาคือเรื่องนโยบาย Cloud First Policy ประเสริฐ ชี้แจงว่าขณะนี้รัฐบาลได้ขับเคลื่อนแล้ว และประกาศเป็นนโยบาย ส่วนกระทรวงดีอี ก็ได้ประกาศเป็นธงในการทำให้ได้ภายในปี 2567 และเรื่องนี้อยู่ในระหว่างการเวียนหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ 20 กระทรวงเลย ฉะนั้น ก่อนเอาเข้า ครม. จึงมีความจำเป็นที่ดีอีต้องสอบถามความเห็นของทุกกระทรวงเสียก่อน
อีกทั้งกระทรวงดีอีได้เตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องในลักษณะ maket place ในเรื่องการจัดซื้อจัดจ้าง และได้หารือกับกรมบัญชีกลาง ว่าจะมีการแก้ไขหรือร่างมาตรฐานคลาวด์ที่เกิดขึ้นในอนาคตต่อไป
ส่วนในเรื่องของ Super App หรือดิจิทัลไอดี ประเสริฐ กล่าวว่า จริงๆ เราเห็นด้วยในข้อเสนอแนะ แต่ขณะนี้ จะต้องมีการรวมแอพต่างๆ ออกมาเป็นระเบียบหรือประกาศ ในเรื่องนี้ กระทรวงถือเป็นเรื่องสำคัญ
ต่อมาในเรื่องของ Cell Broadcast Service (CBS) ประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงได้ตั้งงบในการทำโครงสร้างพื้นฐานรูปแบบการเชื่อมโยงหน่วยงานที่มีอำนาจสั่งการ และส่วน CBC ของโอเปอเรเตอร์ต่างๆ ไม่ได้เป็นการตั้งงบประมาณที่ซ้ำซ้อนแต่อย่างใด ปพ. เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีอำนาจสั่งการเรื่องภัยพิบัติ สตช. เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีอำนาจสั่งการเรื่องความมั่นคง ผมขอเรียนว่า ปัจจุบันนี้ได้หารือกับหน่วยงานดังกล่าวอยู่ และอยู่ระหว่างการเสนอร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแจ้งข้อมูลผ่านการสื่อสารโทรคมนาคม พ.ศ. … และอยู่ในระหว่างการเวียนหนังสือเพื่อขอข้อคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
วันนี้การใช้กับภาครัฐ กรมการปกครองมี ThaiD อยู่ และมีสมาชิกอยู่ส่วนหนึ่ง ในส่วนของดิจิทัลไอดี ภาคเอกชนและธนาคารที่ใช้ในการยืนยันตัวตนในกลุ่มธนาคารก็คคือ NDID ซึ่งเรื่องนี้ก็อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรรมการ ว่าจะใช้ดิจิทัลไอดีเดียวหรือดิจิทัลไอดีหลายรูปแบบ โดยคำนึงถึงบริบทประเทศไทย
ในเรื่องของเศรษฐกิจข้อมูล มีการประเสริฐ กล่าวว่า มีการผลักดันให้นำ Health Link และ Travel Link มาใช้กับภาคธุรกิจและ SME ผมเรียนว่า กระทรวงดีอี ได้ประสานงานกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเพื่อขยายไปยัง Education Link ในการเชื่อมโยงเป็นฐานข้อมูลการศึกษา และเชื่อมโยงกับตลาดแรงงาน โดยจะร่วมแลกเปลี่ยนข้อมูลกับกระทรวง อว. และกระทรวงศึกษาธิการด้วย
ส่วนเรื่องบัตรประชาชนใบเดียวรักษาทุกที่ ประเสริฐ ชี้แจงว่า ไม่ได้ตั้งงบประมาณซ้ำซ้อน แต่เป็นการบูรณาการร่วมกัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเปิดตัวโครงการนี้ระหว่างกระทรวง สธ. กับ กระทรวงดีอี และไปเปิดโครงการที่นครราชสีมา ผมเรียนว่า กระทรวงดีอี ได้ทำเรื่อง Health Link เป็นการเก็บข้อมูลโรงพยาบาลที่ไม่ได้สังกัดในกระทรวง สธ. เพื่อเชื่อมโยงโรงพยาบาลในสังกัด จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีแพลตฟอร์มกลางขึ้นมาในการเชื่อมโยง หากวันนี้สำเร็จ พี่น้องประชาชนจะได้ประโยชน์อย่างยิ่ง
ส่วนในเรื่องที่ รักชนก ศรีนอก สส. เขตบางบอน-หนองแขม พรรคก้าวไกล อภิปรายเกี่ยวกับเรื่องการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์นั้น ประเสริฐ ตอบว่า สิ่งทีกระทรวงดีอีได้ทำไปนั้น มีดังนี้
ศูนย์ AOC 1441 มีคนโทรเข้ามา 504,917 สาย เฉลี่ย 3,000 กว่าสายต่อวัน โดยศูนย์นี้ เป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกค่าย ทั้ง กสทช. ธปท. ปปง. DSI และ สตช. ระงับบัญชีม้าไปแล้วกว่า 9 หมื่นบัญชี และมีการปรึกษาคดีกว่า 9 หมื่นคดี
ดำเนินการปิดซิมม้าไปแล้วกว่า 7 แสนซิม และยังดำเนินการอยู่
ดีอีมีศูนยืประสานงานและแก้ไขข่าวปลอม มีผู้ติดตาม 20 ล้านคน
มีศูนย์ช่วยเหลือและจัดการปัญหาออนไลน์ 1212 etda
ก่อนที่รัฐบาลนี้จะเข้ามา ปิดเว็บพนันออนไลน์ไปประมาณ 2,000 กว่า แต่ช่วงรัฐบาลนี้ เราปิดไปแล้ว 3 หมื่นกว่าเว็บ
ส่วนเรื่องภัยคุกคามทางไซเบอร์ ข้อสงสัยด้านกฎหมาย และข้อมูลแบบ Form Digital ประเสริฐ ระบุว่า ปัญหาอันดับหนึ่งที่ประชาชนเจอคือ ‘การหลอกให้ลงทุน’ มีมูลค่าเสียหายต่อวันราว 40 ล้านบาท โดยเรามีศูนย์ Eagle Eye ของสำนักงานคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPC) และกรณีที่ท่านรักชนก พูดถึงข้อมูลกระทรวง สธ. นั้น เราพบว่า ไม่ได้เสียหายถึงขนาดนั้น ซึ่งเรื่องนี้ หลังเป็นข่าว เราได้ทราบและแก้ไขทันที
“เรียนท่านรักชนกว่า เราได้ปิดประตูทุกช่องทางสำหรับมิจฉาชีพ ได้คุยกับ Fackbook คุยกับ Tiktok และแพลตฟอร์มต่างๆ ได้รับความร่วมมือได้ดี มีการปิดบัญชีม้า ซิมม้า ทำงานร่วมกับ DSI และ ปปง. ในการตรวจสอบเส้นทางการเงิน และขณะนี้ มีทรัพย์ส่วนหนึ่งที่เรายึดมาได้”