ไม่พบผลการค้นหา
โดนัลด์ ทรัมป์ และ โจ ไบเดนเปิดดีเบตแสดงวิสัยทัศน์ครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 3 พ.ย. ขณะที่นักวิเคราะห์ชี้การดีเบตไม่ค่อยมีผลต่อการตัดสินใจเลือกตั้งของ ปชช.มากนัก

VOA รายงานว่า ภาพรวมของการดีเบตครั้งล่าสุดนี้ แตกต่างจากการโต้วาทีอภิปรายครั้งแรกพอควร เนื่องจากผู้จัดงานได้ออกกฎใหม่ให้ปิดไมค์ของฝ่ายที่ยังไม่ถึงเวลาตอบคำถามในช่วงแรก เพื่อให้ฝ่ายที่ต้องตอบสามารถนำเสนอข้อมูลโดยไม่ถูกขัดจังหวะ ก่อนที่ทั้งคู่จะผลัดกันแย้งและกล่าวหากันและกันในประเด็นต่างๆ จนถึงเวลาเปลี่ยนหัวข้อ และกฎการปิดไมค์ 1 ตัวชั่วคราวกลับมาบังคับใช้อีกครั้งจนจบการดีเบต

ในประเด็นการระบาดของโควิด-19 ปธน.ทรัมป์ ยืนยันว่า สถานการณ์การระบาดในประเทศเริ่มดีขึ้นและวัคซีนจะมีออกมาใช้งานภายในสิ้นปีนี้ แม้ว่าการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญจะนานกว่านั้น 

ขณะที่ อดีตรองปธน.ไบเดน ชี้ว่า ผู้ที่รับผิดชอบตัวเลขการเสียชีวิตของชาวอเมริกันกว่า 220,000 คน จากการติดเชื้อโควิด-19 ไม่ควรจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเลย และยังกล่าวว่า ปธน.ทรัมป์ หลีกเลี่ยงที่จะแสดงความรับผิดชอบต่อการระบาดครั้งใหญ่นี้ 

ผู้นำสหรัฐฯ คนปัจจุบัน กล่าวว่า ตนขอรับความรับผิดชอบเต็มที่ และย้ำว่า การระบาดที่มาถึงสหรัฐฯ ไม่ใช่ความผิดของตน แต่เป็นความผิดของประเทศจีน

ในประเด็นเรื่องความยุติธรรมด้านเชื้อชาติ อดีตรองปธน.ไบเดน กล่าวหา ปธน.ทรัมป์ ว่าเป็นผู้ที่เติมเชื้อเพลิงให้กับกระแสการเหยียดเชื้อชาติ ขณะที่ ปธน.ทรัมป์ ยกกฎหมายว่าด้วยอาชญากรรม (Crime Bill) ที่ อดีตรองปธน.ไบเดน มีส่วนสนับสนุนให้ผ่านออกมาใช้งานในช่วงปี 1990 ว่าเป็นตัวอย่างของการไม่ให้ความยุติธรรมต่อเชื้อชาติ เพราะนี่คือกฎหมายที่ทำให้ชายชาวอเมริกันผิวสีจำนวนหลายหมื่นคน ทั้งหนุ่มและสูงอายุ ต้องถูกจำคุกจากคดีเกี่ยวกับยาเสพติด ก่อนที่จะประกาศบนเวทีดีเบตว่า ตนคือ “คนที่เหยียดเชื้อชาติน้อยที่สุดในห้องประชุมนี้”

ส่วนของประเด็นนโยบายต่างประเทศ อดีตรองปธน.ไบเดน กล่าวหา ปธน.ทรัมป์ ว่า ไปคบหาสมาคมกับ “พวกนักเลง” ซึ่งเป็นการพูดถึง คิม จอง อึน ผู้นำเกาหลีเหนือ และทำให้เกาหลีเหนือสามารถขยายความสามารถด้านอาวุธนิวเคลียร์ขึ้นมามากมาย รวมทั้งยกกรณีการดำเนินการแยกเด็กๆ จากพ่อแม่ผู้อพยพข้ามพรมแดนโดยผิดกฎหมาย ว่าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ รวมทั้งอ้างถึงรายงานจากหนังสือพิมพ์ เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ ที่อ้างว่า ผู้นำสหรัฐฯ มีบัญชีลับในจีน

ปธน.ทรัมป์ ตอบโต้ข้อกล่าวหาต่างๆ ด้วยการระบุว่า ตนเป็นผู้ทำให้ไม่เกิดสงครามกับเกาหลีเหนือด้วยการพยายามผูกมิตรกับผู้นำประเทศนี้ ทั้งยังย้ำว่า เด็กๆ ที่ถูกแยกจากพ่อแม่นั้นเป็นฝีมือของคนร้ายและขบวนการลักลอบพาคนข้ามแดน และว่า เด็กๆ เหล่านั้น ได้รับการดูแลเป็นอย่างดี รวมทั้งยืนยันว่า ตนได้จ่ายภาษีล่วงหน้าเป็นเงินหลายสิบล้านดอลลาร์ และจะเปิดเผยข้อมูลการเสียภาษีและการรับภาษีคืนในเร็วๆ นี้ ก่อนที่จะโจมตี ผู้ท้าชิงจากพรรคเดโมแครต กรณีรายงานข่าวที่ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ฮันเตอร์ ไบเดน ผู้เป็นบุตรชาย และคนในครอบครัวใช้ตำแหน่งรองประธานาธิบดีของบิดาในการหาประโยชน์ใส่ตัวผ่านการทำธุรกิจกับยูเครนและจีน

นอกจากนั้น ทั้งคู่ยังแสดงจุดยืนที่ต่างกันในด้านนโยบายพลังงานซึ่งเกี่ยวเนื่องกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ โดยอดีตรองปธน.ไบเดน ประกาศว่า ตนมีนโยบายจะลดการพึ่งพาพลังงานน้ำมัน และสนับสนุนพลังงานทางเลือก เพื่อลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ รวมทั้งการกลับคืนสู่ความตกลงปารีส ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ขณะที่ ปธน.ทรัมป์ โต้ว่า แผนการลดการพึ่งพาน้ำมันนั้น ไม่น่าจะเป็นที่นิยมในรัฐที่มีการผลิตน้ำมันสูง เช่น เท็กซัส โอกลาโฮมา และเพนซิลเวเนีย พร้อมย้ำว่า ตนจะไม่ยอมทำตามความตกลงนานาชาติข้างต้นที่รัฐบาลปัจจุบันประกาศถอนตัวออกมาตั้งแต่เมื่อปี ค.ศ. 2017 หากต้องทำให้ชาวอเมริกันว่างงานเป็นจำนวนมากเป็นอันขาด

ด้าน CNN จัดทำผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่รับชมการดีเบต โดยระบุว่า หลังจากจบการดีเบตระหว่างปธน.ทรัมป์ และอดีตรองปธน. ไบเดนแล้ว ผู้ชมการดีเบต 53%โหวตให้อดีตรองปธน.ไบเดนชนะในการดีเบตครั้งนี้ ขณะที่อีก 39% โหวตให้ปธน.ทรัมป์

อย่างไรก็ตามในเรื่องเศรษฐกิจ ผู้ชมดีเบตต่างโหวตให้ปธน.ทรัมป์ชนะอดีตรองปธน.ไบเดนในการแสดงวิสัยทัศน์ทางเรื่องเศรษฐกิจ โดย 56% ของผู้ชมเชื่อว่าปธน.ทรัมป์จะสามารถจัดการปัญหาเศรษฐกิจของสหรัฐฯได้ดีกว่า ขณะที่ผู้ชมเชื่อว่าไบเดนจะสามารถจัดการการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในสหรัฐฯ ได้ดีกว่าปธน.ทรัมป์ถึง 57%

สำหรับเรื่องนโยบายต่างประเทศ ผู้ชมโหวตดให้ทั้งคู่มีคะแนนทีสูสีกัน ดดยโหวตให้ไบเดน 50% และโหวตให้ทรัมป์ 48% ขณะที่ประเด็นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อดีตรองปธน.ไบเดนชนะในประเด็นนี้ขาดลอย ดดยได้คะแนนโหวตถึง 67% ขณะที่ทรัมป์ได้คะแนนโหวตเพียง 29% เท่านั้น และในประเด็นเรื่องความไม่เท่าเทียมทางเชื้อชาต อดีตรองปธน.ไบเดนได้คะนนโหวตมากถึง 62%

อย่างไรก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีดีเบตระหว่างผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำสหรัฐฯ มักจะไม่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งมากนัก โดยการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่จะมีขึ้นในวันที่ 3 พ.ย.ที่จะถึงนี้

ข่าวที่เกี่ยวข้อง: