เมื่อวันที่ 21 ม.ค. 2563 ที่อาคารไทยซัมมิท ทาวเวอร์ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าแถลงข่าวกรณีรัฐบาลแจ้งความดำเนินคดีตนเองจากการไลฟ์ในข้อกล่าวหาทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 โดยระบุว่าหลังจากที่ตนออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวัคซีนพระราชทาน ว่า ตนยืนยันว่าเป็นการสนับสนุนให้มีการเจรจาต่อรองกับผู้ผลิตวัคซีนบริษัทต่างๆ เพื่อให้ประเทศไทยมีวัคซีนใช้ให้ครอบคลุมกับประชากรให้ได้มากที่สุด และมีความรวดเร็วพร้อมทั้งให้กำลังใจบุคลากรของกระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงต่างประเทศที่กำลังดำเนินการจัดหาวัคซีนให้กับประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีจะจัดซื้อวัคซีนเพิ่มจากบริษัท แอสตราเซเนกา (ประเทศไทย) จำกัด แต่ก็ยังไม่มีความชัดเจน ขณะเดียวกันประเทศไทยยังไม่ได้เริ่มฉีดวัคซีน ทั้งที่ประเทศอื่นได้มีการเริ่มกันไปแล้ว หากประเทศไทยจัดซื้อจัดหาวัคซีนและฉีดช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้านก็จะเกิดความเสียหาย ทั้งในเรื่องการแก้ปัญหาโควิด-19 และปัญหาเศรษฐกิจ
ท้วงจัดหาวัคซีนช้ากว่าเพื่อนบ้าน สังคมยังมืดมิด
ธนาธรระบุว่า ประเด็นที่ทำให้ต้องออกมาแถลงข่าว คือ 1.ประเทศไทยตอนนี้จัดหาวัคซีนที่มีความชัดเจนแล้วเพียง 21.5 เปอร์เซ็นต์ของประชากร โดยมาจากแอสตราเซเนกา 26 ล้านโดส จากซิโนแวค 2 ล้านโดส ซึ่งมีความพยายามขอซื้อจากแอสตราเซเนกาเพิ่มเติม โดยมีมติ ครม. ออกมาแล้วแต่ยังไม่มีความชัดเจนเรื่องสัญญาจัดซื้อจัดจ้าง
2.ประเทศไทยยังไม่ได้เริ่มฉีดวัคซีน ขณะที่ประเทศอื่นๆ เริ่มไปแล้ว ซึ่งเร็วที่สุดคือประเทศอิสราเอล รองลงมาคือสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และ 3.หลายประเทศทั่วโลกมีกลยุทธ์การจัดหาวัคซีนคือซื้อจากหลากหลายๆ บริษัท ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เพราะเกี่ยวกับอนาคตของประเทศ เกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศ
"ถ้าประเทศไทยจัดซื้อจัดหาวัคซีนได้ช้ากว่าประเทศเพื่อนบ้าน จัดหาได้น้อยกว่า รวมถึงฉีดวัคซีนได้ช้ากว่าจะเกิดอะไรกับเศรษฐกิจ เพราะวัคซีนเหมือนแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ จะทำให้เราจะหลุดพ้นจากเศรษฐกิจที่ชะงักงันที่เกิดจากโควิดได้ แต่ทว่าตอนนี้ เรายังอยู่ในอุโมงค์กันอยู่ ตราบใดที่ไม่มีวัคซีนฉีดมากพอที่จะสร้างภูมิคุ้มกันให้สังคมได้ เราก็ยังคงมืดมิด เราก็ยังคงอยู่ในอุโมงค์" ธนาธรระบุ
ย้ำต้องตรวจสอบ บ.เอกชนได้งบฯ จากรัฐบาล
ธนาธร กล่าวว่า วันนี้ เรามีดีลวัคซีนที่ทำกับ บริษัท แอสตราเซเนกาและที่สำคัญคือมีบริษัทเอกชนเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นบริษัทเอกชนก็ย่อมเป็นองค์กรที่แสวงหากำไร สมมติว่าเราลองปิดชื่อผู้ถือหุ้นบริษัทนี้ออกไป บริษัทนี้ได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมหาศาล จากเดิมที 600 ล้าน แล้วเป็น 1,400 ล้านบาท แล้วประชาชนจะไม่ควรตรวจสอบเลยหรือ ว่าดีลที่เกิดขึ้นนั้นมีความถูกต้อง ว่าดีลนี้มีความเหมาะสมหรือไม่ เพราะเงินสนับสนุนนี้มาจากภาษีประชาชนคนไทยทุกคน
สำหรับ 3 ดีลใหญ่ๆ ที่เหมือนจะเป็นก้อนเดียวกันนั่นคือ 1.ระหว่าง บริษัท แอสตราเซเนกา กับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ 2.ระหว่าง บริษัท แอสตราเซเนกา กับ รัฐบาล และ 3.ระหว่างรัฐบาล กับ บริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ คือ 3 ก้อนใหญ่ๆ ที่ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระต่อกัน แต่คือดีลเดียวกันที่มีการพูดคุยเจรจาร่วมกัน มีความเกี่ยวโยงกัน และที่สำคัญคือวัคซีนที่เรากำลังพูดถึงนี้มาจากภาษีประชาชน
"บทบาทของผมเอง ของพรรคอนาคตใหม่ รวมถึงอดีตเพื่อนร่วมงาน คือ ส.ส.พรรคก้าวไกล เราทำเรื่องนี้ เราพูดเรื่องการเอื้อประโยชน์บริษัทเอกชนที่ชัดเจนมาก ผมพูดเรื่องการที่รัฐบาลเอื้อประโยชน์ให้กับ บริษัท คิงพาวเวอร์ ไม่รู้กี่ครั้ง หรือกรณีรถไฟฟ้าสายสีทองที่เอื้อให้กับเอกชนรายหนึ่ง ส.ส.พรรคก้าวไกล ก็เคยอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร การที่เราตรวจสอบการใช้ภาษีประชาชนไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งทำ เราทำมาตลอด และกรณีนี้ เรามีความเชื่อว่า 3 สัญญาก้อนใหญ่ๆ ที่ได้พูดไปนั้น ไม่ได้เจรจาอย่างเป็นเอกเทศ เพราะเอกสารที่เรามีชี้ไปทางนั้นว่าไม่มีการคัดเลือก ไม่มีการเปรียบเทียบ ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องตั้งคำถาม" ธนาธร กล่าว
ตั้งข้อสังเกตหวั่นเอื้อเอกชนเป็นการเฉพาะ ซัด 'ประยุทธ์' ยกสถาบันมากลบเกลื่อน
ธนาธร ระบุว่า เมื่อเราตั้งคำถามกับการที่ประเทศไทยได้รับวัคซีนครอบคลุมประชากรน้อย ฉีดได้ช้า และรัฐบาลมีการเอื้อประโยชน์เอกชนรายใดรายหนึ่งเฉพาะหรือไม่ สิ่งที่ตนได้รับก็คือการถูกรัฐบาลฟ้องเอาผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ ผิด ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ซึ่งก็เป็นอย่างนี้มาตลอด เพราะถ้าย้อนไปดู จะพบว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม พยายามบิดเบือนประเด็นทุกครั้งเมื่อมีคนวิพากษ์วิจารณ์ความผิดพลาด โดยยกเอาสถาบันกษัตริย์มากลบเกลื่อนความไม่มีประสิทธิภาพของตนเองมาโดยตลอด อ้างความจงรักภักดี อ้างว่าตนเองปกป้องสถาบัน และเพราะเหตุนี้หรือไม่ คุณจะชอบหรือไม่ชอบก็ตาม จึงทำให้มีคนออกมาตั้งคำถามกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งในกรณีนี้ก็ชัดเจนว่าคนที่ดึงสถาบันกษัตริย์มาเกี่ยวข้องกับเรื่องการจัดหาวัคซีนไม่ใช่ตน แต่เป็น พล.อ.ประยุทธ์นั่นเอง
ข้องใจตรวจสอบรัฐบาลถูกปิดปากเป็นศัตรูกับสถาบัน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างแถลงข่าว ธนาธรได้เปิดคลิปการแถลงข่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ ในวันที่เป็นประธานการเซ็นจองวัคซีนโควิด โดยธนาธรระบุว่า คลิปดังกล่าวเป็นการแถลงข่าวเมื่อกลางเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งคำถามคือ การที่ตนเองตั้งคำถามต่อการใช้งบประมาณของรัฐบาล แต่กลับถูกยัดเยียดคดีนั้นเป็นธรรมหรือไม่ ใครที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลจะถูกใช้คดีปิดปากเรื่อยๆ อย่างนี้หรือไม่ เราในฐานะคนไทยซึ่งมีส่วนได้ส่วนเสียกับประเทศนี้ ต้องหาทางออกร่วมกัน ว่าตกลงการวิพากษ์วิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เป็นการไม่จงรักภักดี คือการเป็นศัตรูกับสถาบันหรืออย่างไร ตนคิดว่าสังคมไทยทั้งสังคมต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้
ทั้งนี้ ธนาธรยืนยันด้วยว่า การใช้คำว่าพระราชทานนั้นตนเองไม่ได้เป็นคนเริ่ม หากแต่มีคนใช้คำนี้ก่อน ซึ่งสื่อมวลชนสามารถไปย้อนค้นดูได้ เพราะถ้าปล่อยให้เป็นเรื่องเอกชนไปก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร
พร้อมกันนี้ ธนาธร กล่าวถึงกรณีการครอบครองเรือยอร์ช โดยยืนยันว่าไม่รู้จักเจ้าของเรือ ซึ่งได้ทำการซื้อและจดทะเบียนอย่างถูกต้อง โดยเรื่องนี้มีความชัดเจนว่า มีการวางเพลิงให้เรือเกิดเพลิงไหม้ ซึ่งปรากฏตามเอกสารหลักฐานที่ระบุชัด เป็นการทำลายความน่าเชื่อถือของตัวเอง จึงไม่อยากแจ้งความให้ดำเนินคดี ซึ่งระหว่างที่คิดว่าจะแจ้งความหรือไม่ ก็มีตำรวจเข้ามาในที่เกิดเหตุ และมีข่าวออกมาจึงมีคำถามว่ารู้ได้อย่างไร เพราะเรารู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องการเมืองตั้งแต่ได้ทราบว่ามีเพลิงไหม้ จึงตั้งใจที่จะไม่แจ้งความแต่ก็ปรากฏ เรื่องดังกล่าวออกสู่สาธารณะ อีกทั้งเรือลำนี้ยังได้มีการแสดงบัญชีทรัพย์สินอย่างถูกต้องสามารถตรวจสอบได้ ยืนยันว่าไม่ได้ครอบครองโดยผิดกฎหมาย
ป้องน้องถูก รบ.ดิสเครดิต
ส่วนกรณี สกุลธร จึงรุ่งเรืองกิจ น้องชายของตนเอง ที่ปรากฏเป็นข่าวว่า จ่ายสินบนให้กับเจ้าหน้าที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จำนวน 20 ล้านบาทนั้น น้องชายตนเองได้มีเอกสารชี้แจงมาแล้วเรื่องนี้เชื่อว่าเป็นความพยายามของรัฐบาลที่มาจากการสืบทอดอำนาจที่พยายามกดดันตนเองให้หยุดเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่พวกเราไม่ยอมแพ้ ขวัญกำลังใจพวกเรายังดี ขอยืนยันว่าจะทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลต่อไปอย่างเข้มแข็ง และขอขอบคุณกำลังใจจากประชาชนทุกคน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง