เว็บไซต์สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงค่ำวันที่ 1 ก.ค. โดยระบุว่าสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้มีการเจรจากับ มร. อากิระ นิชิโนะ อดีตหัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 1 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยผลการประชุมระหว่าง พล.ต.อ. ดร. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นายกสมาคมฯ นายพาทิศ ศุภะพงษ์ รองเลขาธิการฝ่ายต่างประเทศ และ รองโฆษกสมาคมฯ พร้อมด้วย นายอากิระ นิชิโนะ และตัวแทน โดยผลการประชุมนายอากิระ นิชิโนะ ได้ตอบรับข้อเสนอของทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เป็นที่เรียบร้อย ในการเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนฟุตบอลชายทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย และ ทีมชาติไทยรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี ชุดลุยศึกซีเกมส์ 2019 และ ฟุตบอลชิงแชมป์เอเชีย รุ่นอายุไม่เกิน 23 ปี รอบสุดท้าย เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งการทำหน้าที่คุมทีมทั้งสองชุดนั้นเป็นความต้องการของนายอากิระ นิชิโนะ มาตั้งแต่แรก เพื่อต้องการให้ทีมชาติทั้งสองชุดเกิดความต่อเนื่อง และควบคุมคอนเซปต์การทำทีม ในทิศทางเดียวกัน
สำหรับ อากิระ นิชิโนะ มีประสบการณ์การคุมทีมมากมาย โดยเริ่มต้นจากการคุมทีมชาติญี่ปุ่น U20 และ U23 ต่อด้วยการทำงานกับสโมสรในเจลีก อย่าง คาชิวา เรย์โซล, กัมบะ โอซาก้า, วิสเซิล โกเบ, นาโกยา แกรมปัส, และล่าสุดกับทีมคุมทีมชาติญี่ปุ่นชุดใหญ่ ลุยศึกฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย 2018 ที่ประเทศรัสเซีย โดย อากิระ นิชิโนะ
โดยทางสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ และ มร. อากิระ นิชิโนะ จะมีการจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งจะแจ้งให้ทราบในภายหลัง
ด้าน เฟซบุ๊ก วอริกซ์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเสื้อฟุตบอลทีมชาติไทย ได้เผยประสบการณ์ อากิระ นิชิโนะ กุนซือวัย 64 ปี เคยเล่นกองกลางสมัยเป็นนักเตะให้กับทีมฮิตาชิ สถิติลงเล่น 143 นัด ยิง 29 ประตู ก่อนผันตัวเป็นโค้ชและผ่านประสบการณ์คุมทีมมาอย่างโชกโชน โดยเฉพาะการพาทีมชาติญี่ปุ่น ผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย ศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย นอกจากนี้ยังเคยนั่งแท่นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค รวมถึงเคยคุมทีมเยาวชนซามูไร รุ่น ยู-20 และ ยู-23
สิ่งที่ทำให้ นิชิโนะ สร้างชื่อไปทั่วโลกเกิดขึ้นเมื่อสมัยที่เจ้าตัวคุมทีมชาติญี่ปุ่น ชุด ยู-23 ลุยโอลิมปิกเกมส์ 1996 ที่สหรัฐฯ โดยทัพซามูไรที่ไม่ใช้นักเตะโควตาอายุเกินแม้แต่รายเดียว สามารถพลิกล็อกปราบ บราซิล ที่อุดมไปด้วยแข้งดังอย่าง โรนัลโด, โรแบร์โต คาร์ลอส, ริวัลโด, เบเบโต ฯลฯ ด้วยผลสกอร์ 1-0 ในเกมเปิดสนามที่สังเวียนออเรนจ์ โบว์ล ไมอามี จนถูกขนานนามว่า “Miracle of Miami” (ปาฏิหาริย์แห่งไมอามี) แม้ท้ายที่สุดแล้วแข้งแดนปลาดิบจะไม่ผ่านรอบแรกก็ตาม
ขณะที่ในนามสโมสร นิชิโนะถูกจารึกว่าเป็นโค้ชคนแรกที่สร้างประวัติศาสตร์พา กัมบะ โอซากา คว้าแชมป์ 4 รายการใหญ่ ช่วงปี 2002–2011 ได้แก่ แชมป์ เอเอฟซี แชมเปี้ยนส์ ลีก (2008), แชมป์ เอ็มเพอเรอร์ส คัพ (2008, 2009), แชมป์ เจลีก (2005) และแชมป์ เจลีก คัพ (2007) พร้อมผงาดคว้ารางวัล ผู้จัดการทีมยอดเยี่ยม AFC ปี 2008 และผู้จัดการทีมยอดเยี่ยมเจลีกประจำปี 2000 และ 2005 นอกจากนี้ยังเคยคุม คาชิวา เรย์โซล (แชมป์เจลีก คัพ 1999), วิสเซล โกเบ และนาโกยา แกรมปัส ด้วยเช่นกัน
สื่อปลาดิบ ยกย่องกุนซือผู้กำชัยมากสุดในเจลีก
ขณะที่ “เจแปนไทม์” สื่อดังของประเทศญี่ปุ่น ระบุว่า นิชิโนะคือผู้จัดการทีมที่คว้าชัยชนะมากที่สุดในเจลีก ตลอดเวลา 18 ปี ที่รับงานกับทั้ง 4 สโมสร โดยที่คาชิวา เรย์โซล เก็บชัยชนะได้ถึง 61.47% (แข่ง 109 ชนะ 67 เสมอ 2 แพ้ 4) ส่วนที่กัมบะ โอซากา ทำได้ 52.44% (แข่ง 328 ชนะ 172 เสมอ 67 แพ้ 89), วิสเซล โกเบ 26.32% (แข่ง 19 ชนะ 5 เสมอ 6 แพ้ 0 และ นาโกยา แกรมปัส 38.24% (แข่ง 68 ชนะ 26 เสมอ 16 แพ้ 26)
เน้นเกมรุก - เกือบคว่ำเบลเยียมทีมอันดับ3 บอลโลก 2018
ส่วนในฐานะกุนซือทีมชาติญี่ปุ่น คุมทัพทั้งหมด 7 เกม ชนะ 2 เสมอ 1 แพ้ 4 คิดเป็น 28.57% โดยในศึกฟุตบอลโลก 2018 รอบแบ่งกลุ่ม ชนะโคลอมเบีย 2-1, เสมอเซเนกัล 2-2, แพ้โปแลนด์ 0-1 และรอบ 16 ทีมสุดท้ายพ่ายเบลเยียม ทีมอันดับ 3 ของโลกด้วยผลประตู 2-3
ส่วนปรัชญาการทำทีมฟุตบอลของ นิชิโนะ เคยระบุว่า “ผมเป็นโค้ชที่เล่นเกมรุกเสมอ ถ้าทีมของผมยิงนำ 2-0 หรือ 3-0 ผมไม่เคยพยายามที่จะตั้งรับ ผมจะมุ่งไปข้างหน้าเพื่อให้ได้ประตูเพิ่ม”