สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นแล้ว หลังทรัมป์สั่งยิงขีปนาวุธโทมาฮอล์ก 59 ลูกโจมตีฐานทัพทางอากาศรัฐบาลซีเรีย
ฐานทัพอากาศ Shinshar และ Shayrat เป็นสถานที่ที่ทรัมป์ ระบุว่า เป็นการโจมตีด้วยอาวุธเคมี จรวดที่ยิงทั้งสิ้นราว 59 ลูก สู่ใจกลางคลังน้ำมันและรันเวย์ฐานทัพอากาศรัฐบาลซีเรีย
การโจมตีครั้งนี้มาจากเรือรบของสหรัฐฯ บริเวณทะเลเมดิเตอร์เรเนียน นี่ถือเป็นครั้งแรกที่สหรัฐฯ โจมตีซีเรียโดยตรง หลังปล่อยให้มีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้นยืดเยื้อเรื้อรังมาตั้งแต่ปี 2011 ก่อนหน้านี้สหรัฐฯ แสดงท่าทีเพียงแค่สนับสนุนต่อกลุ่มนักรบฝ่ายกบฏในพื้นที่เท่านั้น นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ประธานาธิบดีสั่งโจมตีโดยตรง
สาเหตุที่นำมาสู่การโจมตีซีเรียโดยตรง
เมื่อวันที่ 5 เมษายนที่ผ่านมา หลังจากกองทัพรัฐบาลซีเรียนำเครื่องบินโจมตีจังหวัดอิดลิบซึ่งเป็นฐานที่มั่นแห่งหนึ่งของกลุ่มกบฏด้วยอาวุธเคมี เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตที่เป็นพลเรือนแทบทั้งหมด รวมทั้งสตรีและเด็ก จำนวน 72 ราย ในจำนวนนี้มีเด็กเสียชีวิตราว 20 ราย หลังถูกอาวุธเคมีเข้าสังหาร ทำให้เกิดอาการชัก น้ำลายฟูมปาก และหมดสติ ทำให้มีผู้บาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก
ด้วยเหตุนี้ คณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ (UNSC) เรียกประชุมด่วนทันที ร่วมด้วยรัฐบาลนานาชาติ ร่วมประณามทั้งรัฐบาลซีเรียและรัฐบาลรัสเซีย เนื่องจากที่ผ่านมารัสเซียได้ให้การสนับสนุนซีเรียในการโจมตีฝ่ายกบฏ
แต่รัสเซียอ้างว่าเหตุการณ์ดังกล่าวไม่ใช่การโจมตีที่มาจากฝีมือของรัฐบาลซีเรีย ทว่าเครื่องบินรัฐบาลซีเรียที่ไปโจมตีฐานที่มั่นของฝ่ายกบฏนั้น แต่ทิ้งระเบิดไปถูกโกดังอาวุธเคมี ทำให้อาวุธเคมีรั่วไหลออกมาเป็นเหตุให้ประชาชนล้มตายจำนวนมาก
ในอีกด้านหนึ่ง แม้ว่ายังไม่มีการประชุมตกลงท่าทีหรือกำหนดนโยบายใดๆ จาก UNSC ขณะเดียวกับที่รัฐบาลโดนัลด์ ทรัมป์กำลังให้การต้อนรับผู้นำจีน สี จิ้นผิง เขาได้ดำเนินนโยบายแบบฝ่ายเดียว หรือ (Unilateral policy) แบบเดียวกับที่ประธานาธิบดีจอร์ช ดับเบิลยู บุช เคยใช้มาก่อน
ทรัมป์ใช้อำนาจประธานาธิบดีสั่งการทันทีในการโจมตีฐานที่มั่นของซีเรีย แม้จะยังไม่ได้ส่งกองกำลังเข้าไปจัดการในซีเรียโดยตรง แต่ท่าทีดังกล่าวสะท้อนภาพการดำเนินนโยบายสมัยจอร์ช ดับเบิลยู บุช แบบไม่มีผิดเพี้ยน
นัยสำคัญของการโจมตีซีเรียท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นที่ทรัมป์กำลังต้อนรับสี จิ้นผิง ??
ในขณะเดียวกับที่ทรัมป์สั่งยิงขีปนาวุธไปยังฐานทัพอากาศซีเรีย ทรัมป์ก็นั่งรับประทานอาหารกับแขกบ้านแขกเมือง แขกระดับผู้นำประเทศอย่าง สี จิ้นผิงไปด้วย !!?
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นพร้อมๆกับที่ทางทำเนียบขาวได้รายงานว่า ทรัมป์ได้แจ้งสี จิ้นผิง แบบส่วนตัวไปในคราเดียวกัน ??
ทรัมป์ให้เหตุผลในการโจมตีซีเรียว่า สหรัฐอเมริกาได้ให้โอากาสประธานาธิบดีบาร์ซาร์ อัล อัสซาดแห่งซีเรียมาเนิ่นนานแล้ว ทุกอย่างล้มเหลวอย่างรุนแรง เขาระบุว่า การที่ซีเรียโจมตีฐานที่มั่นกลุ่มกบฏด้วยอาวุธเคมี ถือเป็นสิ่งที่เขารับไม่ได้ เนื่องจากเหตุการณ์นี้ฝืนทั้งมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งองค์การสหประชาชาติ ฝืนทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ แถมยังโจมตีเด็กที่ทำให้ต้องถึงแก่ชีวิตด้วย ทำเนียบขาวระบุว่า ทรัมป์สะเทือนใจอย่างมากจากภาพที่เขาเห็น ภาพนั้นคือเด็กๆ ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์นี้
การกล่าวคำปราศรัยของทรัมป์ในช่วงท้าย ทำให้บรรยากาศสมัยจอร์ช ดับเบิลยู บุช ปกครองประเทศหวนกลับมาอีก เมื่อทรัมป์ระบุว่า จากเหตุการณ์นองเลือดในซีเรีย ทำให้มีทั้งปัญหาผู้ลี้ภัยที่ยืดเยื้อเรื้อรัง มีการก่อการร้ายไม่รู้จบ ทรัมป์ขอเชิญชวนนานาอารยะประเทศร่วมมือสนับสนุนทรัมป์ในการยุติความรุนแรง เพื่อยุติเหตุการณ์นองเลือดในซีเรียที่ดำเนินมาอย่างยาวนาน เพื่อยุติการก่อการร้ายทุกรูปแบบในซีเรียด้วย
ทำไม ทรัมป์ เพิ่งจะมาโจมตีซีเรีย ทั้งที่มีสงครามกลางเมืองมาเนิ่นนาน ??
นี่อาจเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทรัมป์ต้องการเบี่ยงเบนความสนใจจากการดำเนินนโยบายภายในประเทศของทรัมป์ที่ยังยุ่งเหยิง วุ่นวายมาตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งจนถึงปัจจุบัน ตั้งแต่การยกเลิก Obama Care ฯลฯ ด้วยการหันไปเปิดไพ่กรณีเกาหลีเหนือ ซึ่งช่วงที่ทรัมป์เตรียมพบปะกับสี จิ้นผิง ผู้นำจีนนั้น ใครๆ ต่างก็คาดการณ์ว่าทรัมป์จะเล่นเรื่องเกาหลีเหนือ ปรากฏว่าทรัมป์ดันใช้ไพ่ซีเรียมาทำให้นโยบาย Make America Great Again กลับมาโดดเด่นขึ้นอีกครั้งหลังหาเสียงด้วยนโยบายนี้
ประเด็นที่น่าจับตามองคือ
ท่าทีดังกล่าวเป็นการหยามเหยียดทั้ง 2 ผู้นำนี้หรือไม่ ?? ทั้งที่ทรัมป์กำลังเตรียมพบปะกันอีกครั้งหลังจากรับประทานมื้ออาหารค่ำด้วยกัน ทั้งประเด็นนโยบายกีดกันทางการค้าที่สหรัฐฯ โจมตีจีนมาโดยตลอด ไหนจะประเด็นเกาหลีเหนือที่มีท่าทีแข็งกร้าวท้าทายทรัมป์มากขึ้น นี่ยังมีประเด็นโจมตีซีเรียเข้ามาอีก ??
สถานการณ์ในซีเรียจะเป็นอย่างไรต่อ ทรัมป์เรียนรู้อะไรจากรัฐบาลบุชบ้าง เหตุการณ์ดังกล่าวจะรุนแรงอย่างเข้มข้นมากขึ้นหรือน้อยลง เรื่องนี้พลาดไม่ได้ !