เฟซบุ๊กออกรายงานรายได้ในไตรมาส 2 ของปีนี้มาว่า พื้นที่โฆษณาบนนิวส์ฟีดของเฟซบุ๊กกำลังจะหมดลงแล้ว ซึ่งจะทำให้ต้องธุรกิจต้องแข่งขันกันโฆษณามากขึ้น ธุรกิจต่างๆ จึงต้องวางกลยุทธ์การตลาดอย่างตรงเป้า
แม้พื้นที่โฆษณาบนนิวส์ฟีดของเฟซบุ๊กกำลังจะหมดลงแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่า เจ้าของธุรกิจควรลงทุนโฆษณาบนเฟซบุ๊กน้อยลง ในทางกลับกัน ธุรกิจต้องวางกลยุทธ์ในการใช้โซเชียลมีเดียอย่างชาญฉลาดขึ้น ด้วยการแยกกลุ่มผู้ใช้เฟซบุ๊กออกเป็นกลุ่มย่อยๆ และมุ่งเป้าโฆษณาไปที่กลุ่มเป้าหมายของธุรกิจ รวมถึงสร้างและโปรโมทเนื้อหาที่กลุ่มเป้าหมายจะชอบอย่างสม่ำเสมอ และใช้ตัวช่วยในการโฆษณาขั้นสูง เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายออกไป เมื่อวางกลยุทธ์อย่างเฉียบคมแล้วก็ใช้งบโฆษณาในจำนวนเท่ากับที่เคยใช้หรือมากกว่านั้น เพราะกลยุทธ์ด้านโซเชียลมีเดียที่เฉียบคมขึ้นจะช่วยให้ได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่า
นิตยสาร Forbes ระบุว่า ธุรกิจควรวางกลยุทธ์เนื้อหาของโฆษณาอย่างดี เพราะคุณภาพเนื้อหาที่ดีจะนำไปสู่ engagement ที่ดีขึ้น ซึ่งจะเพิ่มคะแนนความเกี่ยวข้องของโฆษณา และคะแนนที่เพิ่มขึ้นจะไปลดราคาต่อคลิก หรือ CPC แต่ที่ผ่านมา Havas Meaningful Brands พบว่า เนื้อหาของแบรนด์ประมาณร้อยละ 60 ไม่เฉียบคมนัก และร้อยละ 44 ของเนื้อหาที่ฝ่ายการตลาดทุ่มงบลงไปเป็นเนื้อหาคุณภาพต่ำ ซึ่งนี่ไม่เพียงแต่จะส่งผลเสียต่อภาพลักษณ์ของแบรนด์ แต่ยังกระทบกับราคาค่าโฆษณาอย่างมาก
ราคาต่อคลิกสำหรับโฆษณาที่มีอัตราการคลิกดูหรือ CTR ร้อยละ 1 จะแพงเป็น 10 เท่าของโฆษณาที่มี CTR ร้อยละ 2 เลยทีเดียว ดังนั้น CTR จึงเรียกได้ว่าเป็นเครื่องมือวัดว่าเนื้อหาโฆษณานั้นมีคุณค่าสำหรับผู้ใช้เฟซบุ๊กขนาดไหน เพียงพอที่จะจูงใจให้คนเข้าไปปฏิสัมพันธ์กับโฆษณาหรือไม่ โดยเฟซบุ๊กได้ทำมาตรวัดความสำเร็จของโฆษณาให้นักการตลาดได้ดูเป็นคะแนนความเกี่ยวข้องของโฆษณาจาก 1 - 10 หากได้คะแนนความเกี่ยวข้องของโฆษณาต่ำมาก ราคาต่อคลิกจะสูงกว่าถึง 40 เท่า
การที่พื้นที่โฆษณาบนเฟซบุ๊กจำกัด ก็ถือเป็นโอกาสให้ธุรกิจหันมาทำความเข้าใจกลุ่มลูกค้าของตัวเองมากขึ้นว่า พวกเขาต้องการอะไร ไม่ใช่การโฆษณาแบบเหวี่ยงแหให้คนทั่วๆไป หวังแค่ให้คนจำนวนมากได้เห็นแบรนด์ของตัวเองบนหน้านิวส์ฟีด เพราะการตลาดคือการเข้าใจความต้องการของลูกค้า สร้างเนื้อหาที่สอดคล้องไปกับความสนใจของพวกเขา และนำเสนอออกมาอย่างคุ้มค่าการลงทุน
ดังนั้น Forbes จึงแนะนำทิปส์ที่จะช่วยให้การลงทุนค่าโฆษณามีประสิทธิภาพและควบคุมราคาค่าโฆษณาให้ลดลงเรื่อยๆ ดังนี้ 1. โพสต์เนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะคนจะสนใจคลิกเข้าไปดูมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ราคาโฆษณาลดลง / 2. วางกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน เพราะความสำเร็จของโฆษณาอยู่ที่ความเกี่ยวข้องของเนื้อหาโฆษณา / 3. โพสต์โฆษณาในช่วงที่กลุ่มเป้าหมายอยากเห็น นั่นก็คือช่วงที่พวกเขาออนไลน์และพร้อมจะรับข้อมูล
ที่สำคัญที่สุดก็คือ การวัดความสำเร็จของตัวเอง หลังจากสร้างเนื้อและโพสต์ไปแล้ว เพื่อวิเคราะห์ว่า เนื้อหานี้ประสบความสำเร็จหรือไม่ มี engagement น่าพอใจหรือไม่ เพราะอะไร และควรมีการประเมินผลนี้แบบเรียลไทม์ ไม่ใช่รอให้ผ่านไปแล้วหลายวันแล้วค่อยปรับเปลี่ยน
การหาการตลาดบนโซเชียลมีเดียที่เหมาะสมถือเป็นเรื่องสำคัญในการป้องกันไม่ให้นักการตลาดทำผิดพลาดซ้ำซากด้วยการทุ่มเงินกับการโฆษณาจำนวนมากโดยไม่เกิดประโยชน์ แทนที่จะหันมาปรับเปลี่ยนการนำเสนอเนื้อหาโฆษณาด้วยงบเท่าเดิม