กระแสติดแฮชแท็กในสื่อโซเชียลเพื่อรณรงค์ให้คนลบบัญชีเฟซบุ๊กเริ่มขึ้นไล่เลี่ยกับที่มีการรายงานข่าวว่า ข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ราว 50 ล้านคนรั่วไหลจากการตอบแบบสอบถามผ่านแอปฯ ในเฟซบุ๊ก
ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์ 'ทวิตเตอร์' ในสหรัฐฯ และอีกหลายประเทศ พร้อมใจกันติดแฮชแท็ก #DeleteFacebook เพื่อเรียกร้องให้มีการลบบัญชีเฟซบุ๊กทั่วโลก และเป็นการตอบโต้ที่บริษัทเฟซบุ๊กปล่อยให้สถาบันวิจัย เคมบริดจ์ แอนาลิติกา สร้างแอปพลิเคชันแบบสอบถามเพื่อเก็บข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊ก ทำให้ข้อมูลของผู้ใช้เฟซบุ๊กกว่า 50 ล้านคนรั่วไหลไปอยู่กับบริษัทดังกล่าวโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากผู้ตอบแบบสอบถามได้อนุญาตให้แอปฯ ของเคมบริดจ์ แอนาลิติกา เข้าถึงข้อมูลรายชื่อเพื่อนที่อยู่ในบัญชีเฟซบุ๊ก โดยที่บุคคลต่างๆ เหล่านั้นไม่ทราบเรื่อง
แถลงการณ์ของเฟซบุ๊กยืนยันว่า ความปลอดภัยของข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานเฟซบุ๊กเป็นสิ่งสำคัญที่บริษัทยึดถือและปกป้อง แต่ขณะเดียวกันก็ย้ำว่า ข้อมูลส่วนตัวที่เคมบริดจ์ แอนาลิติกา ได้ไป เกิดจากการยินยอมของผู้ใช้เฟซบุ๊กที่ร่วมกันตอบแบบสอบถามของทางบริษัทเอง
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ผู้ใช้สื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากมองว่าเฟซบุ๊กไม่มีความจริงใจในการเก็บรักษาข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งาน จึงเกิดกระแสติดแฮชแท็กเรียกร้องให้ลบบัญชีเฟซบุ๊ก และกระแสดังกล่าวเริ่มได้รับความนิยมในหลายประเทศ
แม้แต่ในเฟซบุ๊กเองก็มีผู้ใช้รายหนึ่งในสหรัฐฯ สร้างเพจเสียดสีล้อเลียนว่าจะจัดกิจกรรม 'วันลบเฟซบุ๊ก' Delete Facebook Day ในวันที่ 31 มี.ค. ซึ่งยังไม่มีผู้เข้าร่วมมากนัก แต่ถือเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกับกระแสต่อต้านเฟซบุ๊กในทวิตเตอร์
ด้านเว็บไซต์ธุรกิจ บิสซิเนสอินไซเดอร์ รายงานว่า แม้แต่ ไบรอัน แอ็กตัน อดีตผู้บริหารของแอปพลิเคชันสื่อสารอย่างวอทซ์แอพ (WhatsApp) ก็ออกมาแสดงความเห็นต่อต้านการใช้เฟซบุ๊กเช่นกัน โดยเขาประกาศว่าจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ลบบัญชีเฟซบุ๊กทิ้ง แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะเคยเกี่ยวข้องกับเฟซบุ๊กอยู่บ้าง เพราะเฟซบุ๊กซื้อกิจการของวอทซ์แอพไปในปี 2557 และแอ็กตันเพิ่งถอนตัวออกมาก่อตั้งธุรกิจของตัวเองเมื่อปีที่แล้ว
บิสซิเนสอินไซเดอร์ระบุด้วยว่า ผู้ที่จะลบบัญชีเฟซบุ๊กจะได้รับคำถามจากระบบอัตโนมัติของเฟซบุ๊กว่าต้องการลบบัญชีผู้ใช้ (Delete Account) หรือเลิกใช้งานชั่วคราว (Deactivate) เนื่องจากการลบบัญชีเฟซบุ๊กจะเป็นการลบข้อมูลต่างๆ ที่เชื่อมโยงกับผู้ใช้เฟซบุ๊กคนอื่นๆ ทั้งหมดด้วย จึงคาดว่าจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 90 วัน
ส่วนผู้ที่ต้องการเลิกใช้งานชั่วคราว สามารถดำเนินการโดยใช้เวลาไม่นาน และในอนาคตเกิดเปลี่ยนใจจะกลับมาใช้เฟซบุ๊กอีกครั้ง ข้อมูลทุกอย่างก็จะยังเหมือนเดิม ทำให้วิธีเลิกใช้งานหรือ Deactivate เป็นเพียงการซ่อนข้อมูลส่วนตัวไม่ให้ผู้ใช้งานเฟซบุ๊กคนอื่นๆ เห็น แต่เฟซบุ๊กจะยังสามารถเข้าถึงและเป็นผู้เก็บรักษาข้อมูลของผู้ใช้งานอยู่เช่นเดิม