พัณทุลา กุนาวารทินา โฆษกคณะรัฐมนตรีเปิดเผยกับผู้สื่อข่าว เมื่อวานนี้ (26 ก.ค.) ว่า ราชปักษามิได้พยายามหลบซ่อนตัวแต่อย่างใด แต่กำหนดการและเวลาเดินทางกลับมายังศรีลังกาของอดีตประธานาธิบดี ยังไม่ถูกระบุอย่างแน่ชัด
ก่อนหน้านี้ ราชปักษาตัดสินใจหนีออกนอกประเทศ เนื่องจากถูกผู้ประท้วงขับไล่อย่างหนัก จากการบริหารประเทศที่ล้มเหลว จนส่งผลให้ศรีลังกาเกิดภาวะล้มละลายทางเศรษฐกิจ ความล้มเหลวในการบริหารงานของราชปักษา ส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศพุ่งสูงขึ้นจากอัตราเงินเฟ้อ นอกจากนี้ ศรีลังกายังผิดนัดชำระหนี้ต่างประเทศ ตลอดจนไม่สามารถนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศได้ ส่งผลให้ประชาชนขาดแคลนอาหาร พลังงาน และยารักษาโรค
ราชปักษาหนีออกนอกศรีลังกาด้วยเครื่องบินสัญชาติซาอุดีอาระเบีย ก่อนลงจอดที่มัลดีฟส์ เมื่อวันที่ 13 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับวันที่ราชปักษาสัญญากับประชาชนว่า ตนจะทำการลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี หลังจากนั้น ราชปักษาขึ้นเครื่องบินหนีจากมัลดีฟส์ต่อไปยังสิงคโปร์เมื่อวันที่ 14 ก.ค. ก่อนที่จะส่งหนังสือลาออกผ่านอีเมลมาให้แก่รัฐสภาศรีลังกาในวันเดียวกัน
ราชปักษาหนีออกนอกศรีลังกาไปพร้อมกันกับภรรยาของตน และองครักษ์อีก 2 ราย โดยราชปักษาอ้างว่าตนไม่ได้หนีออกนอกประเทศ แต่จำเป็นจะต้องเดินทางออกนอกศรีลังกาด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย ทั้งนี้ ราชปักษาไม่มีสถานะการเป็นประมุขของศรีลังกาแล้ว โดยรัฐสภาศรีลังกาได้ทำการเลือก รานิล วิกรมสิงเห คนใกล้ชิดของราชปักษา ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่ของประเทศแทน
ทางการของสิงคโปร์ออกมาเปิดเผย หลังจากที่ราชปักษาหลบหนีเข้ามายังประเทศของตนว่า ราชปักษาไม่ได้ขอสถานะผู้ลี้ภัยในขณะที่เขาเดินทางมาถึงสิงคโปร์ นอกจากนี้ สิงคโปร์เองก็ไม่มีนโยบายมอบสถานะผู้ลี้ภัยให้แก่ใคร โดยก่อนหน้านี้ ราชปักษามีวีซ่าเดินทางเข้าสิงคโปร์เป็นเวลา 14 วัน แต่สื่อท้องถิ่นรายงานว่า ราชปักษาได้ต่ออายุวีซ่าของตนในสิงคโปร์เพิ่มอีก 14 วันแล้ว
มีการคาดการณ์ว่า แผนต่อไปของราชปักษา อาจเป็นการเดินทางหนีต่อไปยังสหรัฐอาหรับเอมริเรตส์แทน อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่ของทางการศรีลังกาที่ไม่เปิดเผยชื่อระบุกับทาง Bloomberg ว่า ราชปักษามีความต้องการที่จะเดินทางกลับมายังกรุงโคลัมโบของศรีลังกาอีกครั้ง
“เท่าที่ผมทราบ มีการคาดว่าเขาจะเดินทางกลับมา” กุนาวารทินาระบุกับผู้สื่อข่าวว่าราชปักษาจะเดินทางกลับเข้ามายังศรีลังกาอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ประชาชนชาวศรีลังกากล่าวหาว่าราชปักษาทำให้ประเทศของตนพบกับความตกต่ำที่สุดในรอบ 7 ทศวรรษ นับตั้งแต่ได้รับเอกราชจากสหราชอาณาจักร
ที่มา: