วันที่ 9 ส.ค. 2566 นพดล ปัทมะ สส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณี เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ยื่น กมธ.วุฒิสภา ตรวจสอบการซื้อขายที่ดิน เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ว่า เข้าข่ายผิดจริยธรรมนั้น ในฐานะที่ตนเองเป็นนักกฎหมาย และเรียกร้องความเป็นธรรม สมัยกรณีพิพาทเขาพระวิหาร จนสามารถพิสูจน์ตนเองได้ว่าบริสุทธิ์ ไม่ได้กระทำอย่างที่ถูกกล่าวหา กรณี เศรษฐา ก็เช่นเดียวกัน ยืนยันว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมายไม่ฝ่าฝืนจริยธรรมใดทั้งสิ้น
ขณะที่ข้อเท็จจริง เรื่องซื้อขายที่ดินที่ ชูวิทย์ กมลวิศิษฐ์ ออกมาแฉนั้น มีการโอนจากบริษัท เมื่อเดือนธันวาคม 2561 โอนคนละวันจริง 12 คน 12 วัน และตามประกาศของกรมสรรพากร 2543 ได้ระบุชัดเจน การโอนคนละวันถ้ามีหน้าที่เสียภาษีตามเงินได้ หรือ ค่าที่ดินของแต่ละคนที่ได้รับมาไม่ได้เสียในนามคณะบุคคล และการโอนจากบริษัทมาให้ผู้ถือหุ้น 12 คน เมื่อธันวาคม 2561 เช่นเดียวกันกว่าจะโอนให้บริษัทแสนสิริ เดือนสิงหาคม 2562 การโอนที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจึงไม่เกี่ยวกับเศรษฐา และบริษัทแสนสิริ ที่ชูวิทย์กำลังพูดคนขาย 12 คนเมื่อ เดือนสิงหาคม 2562 และโอนคนละวัน สาเหตุที่โอนคนละวันเพราะราคาซื้อขายแต่ละแปลงไม่เท่ากัน การจะโอนคนละวันหรือวันเดียวกัน สาระที่จะเปลี่ยนแปลงภาษีของการชำระของแต่ละคนดูขาเข้าคือ ธันวาคม 2561 ไม่ได้ดูขาออก สิงหาคม 2562 จึงอยากขอความเป็นธรรมให้กับเศรษฐา ที่กำลังจะถูกเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรี แต่กลับถูก สว.ตั้งข้อสังเกต
ทั้งนี้ ตนเองเชื่อว่า สว.เป็นคนมีเกียรติ มีความรู้ วุฒิภาวะ แยกแยะได้ไม่อยากให้ช่วงหัวเลี่ยวหัวต่อสำคัญทางการเมือง มีคนสร้างมาตรฐานจริยธรรมเทียม ในเรื่องที่ ไปเรียกร้องเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมายและไม่ละเมิดจริยธรรม และเชื่อว่าการเรียกร้องจริยธรรมเทียมนี้จะไม่ส่งผลกระทบกับการประชุมโหวตนายกรัฐมนตรีหวังดิสเครดิตเศรษฐา หวังทำลายความน่าเชื่อถือ และชื่อเสียง ขณะเดียวกันรู้สึกสงสาร ชูวิทย์จบจากสถาบันเดียวกันอยากให้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีเพราะการให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว
"ขอยืนยันการใส่ความเศรษฐา เป็นเรื่องที่ผิดจริยธรรมมากกว่าเศรษฐา เลี่ยงภาษี ทั้งที่การเลี่ยงดังกล่าวเป็นการวางแผนภาษีตามกฎหมายกำหนดและเชื่อว่าเรื่องนี้หน่วยงานที่เกี่ยวทั้งที่ดินและสรรพากรจะออกมายืนยัน เรื่องที่เกิดขึ้น"