ไม่พบผลการค้นหา
'สมคิด' ย้ำใช้ข้อได้เปรียบไทยอยู่ตรงกลาง CLMV และ AMCMECS สร้างจุดเชื่อมโยงการลงทุนในภูมิภาค เร่งทำโครงสร้างพื้นฐาน ดันการเติบโตจากภายในประเทศ ไม่พึ่งเพียงการส่งออก เผยไม่อยากให้ยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษีผู้ออมผ่าน LTF

นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงภาวะตลาดทุนไทยในระหว่างเปิดงาน SET in the City 2018 ว่าท่ามกลางสภาวะที่โลกกำลังเจอกับมรสุมต่างๆ โดยเฉพาะสงครามการค้าระหว่างสองยักษ์ใหญ่ทางเศรษฐกิจของโลกอย่างจีนและสหรัฐฯ

สงครามการค้าได้แผ่ผลกระทบไปทั่วโลก ล่าสุดตัวเลขจีดีพีของญี่ปุ่นและเยอรมันลดลง ติดลบร้อยละ 1.2 และ 0.5 ตามลำดับ ผลกระทบครั้งนี้ส่งผลโดยตรงต่อความผันผวนของตลาดเงินทุนในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (EM)

อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางมรสุมลูกใหญ่ที่กำลังพัดเข้าสู่ชายฝั่งของหลายประเทศ ไทยยังคงยืนหยัดได้ค่อนข้างดี ตลาดทุนไทยตอนนี้ยังแข็งแรงมาก ในเอเชียไทยเป็นรองแค่ญี่ปุ่น มีกำไรสุทธิถึงร้อยละ 10 เงินปันผลสูงจูงใจนักลงทุน มีสภาพคล่องสูง และมีการระดมทุนผ่านตลาดทุนสูงสุดในอาเซียน


"แม้ว่าภาวะนี้จะยังไม่ดีมีลมพายุ แต่เชื่อว่าจะประคองตลาดไปได้ ผมมองหาโอกาส ภายใต้ลมพายุยังมีโอกาสของตลาดทุนไทยอยู่ เราต้องจับให้ได้" นายสมคิด กล่าว


3 ปัจจัยหนุนไทยไปต่อท่ามกลางเศรษฐกิจโลกปัจจุบัน

รองนายกรัฐด้านเศรษฐกิจ ยังระบุถึง 3 ปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจไทยไปต่อ เกิดจาก 1) ขณะนี้ทั้งจีนและญี่ปุ่นต่างได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าด้วยกันทั้งคู่ ดังนั้นหนึ่งในทางรอดของสองประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่เช่นนี้ คือการลงทุนในประเทศอื่น หากไทยต้องการสร้างแรงดึงดูดให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามา ไทยต้องชูความเป็นศูนย์กลางของกลุ่มประเทศ CLMV (กัมพูชา ลาว เมียนมา และเวียดนาม) รวมถึงในอนาคตไทยกำลังจะเป็นศูนย์กลางของ AMCMECS หรือ กลุ่มประเทศแม่น้ำอิรวดีเจ้าพระยาและแม่น้ำโขง ที่ประกอบไปด้วย ไทย พม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ทำให้เกิดความเชื่อมโยงด้านผลิตภาพการผลิตซึ่งจะสร้างความน่าสนใจให้กับไทยมากขึ้น

หากไทยสามารถสร้างความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์ตรงนี้ได้ คู่แข่งที่สำคัญอย่างเวียดนามที่ได้เปรียบเรื่องต้นทุนในการผลิตก็จะไม่สามารถขึ้นมาต่อกรกับไทยได้

2) ไทยต้องเพิ่มการลงทุนทางด้านโครงสร้างพื้นฐานในประเทศให้ชัดเจนขึ้น เพราะการหวังพึ่งแต่การส่งออกนั้นจะไม่สามารถกระตุ้นจีดีพีของประเทศได้อย่างถาวรและต่อเนื่อง

นายสมคิดชี้ว่า เมื่อมองลงไปในสินค้าส่งออกที่เป็นตัวแปรสำคัญในการยกระดับหรือฉุดเศรษฐกิจลงมีอยู่ด้วยกัน 4 อย่างคือ รถยนต์ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และอาหาร ซึ่งสินค้าเหล่านี้จะดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยทั้งปัจจัยภายในประเทศและปัจจัยภายนอกประเทศ

ดังนั้นไทยจึงควรมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่จะช่วยให้เติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต ไม่ต้องมาคอยกังวลว่าจะโตได้เท่าไร ส่งออกจะบวกหรือลบ เพราะถ้าจะโตจากส่งออกจริงๆ ก็โตอยู่แค่ไม่กี่กลุ่มอุตสาหกรรม

3) หากตลาดหลักทรัพย์ไทยต้องการยกระดับให้สูงขึ้น ไทยว่าจะต้องยกระดับเป็นศูนย์กลางการระดมทุนของอาเซียน โดยจะต้องดึงบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ มาจดทะเบียนในประเทศไทย โดยให้ทำงานร่วมกับ ก.ล.ต. กระทรวงการคลัง รวมทั้งให้มีการดึงนักลงทุนรุ่นใหม่เข้ามาเล่นหุ้นและลงทุนในกองทุนรวม ซึ่งได้หารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังว่าไม่ต้องการให้ยกเลิกสิทธิประโยชน์ทางภาษี กองทุน LTF เพราะถือเป็นการกระตุ้นให้เกิดการลงทุนในหุ้นและการออม จึงไม่อยากให้ยกเลิก แต่ผลจะเป็นอย่างไรนั้นต้องรอการศึกษาจากกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จัดงาน SET in the City 2018 ด้วยแนวคิด “สร้างอนาคตการลงทุนให้เหนือกว่าเคย” แสดงศักยภาพด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมตลาดทุนแห่งอนาคต ทั้ง หุ้น กองทุนรวม อนุพันธ์ และประกันภัย ภายในงานยังมีกิจกรรมสัมมนาวิเคราะห์การลงทุนต่างๆ ระหว่างในที่ 15 – 18 พฤศจิกายนนี้ ที่รอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 สยามพารากอน