วันที่ 7 ส.ค. 2566 เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนที่ศาลอาญา ถึงกรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย มอบหมายให้ทนายความยื่นฟ้องตนเอง หลังออกมาแถลงข่าวว่าเศรษฐา มีพฤติการณ์ทำนิติกรรมอำพราง เลี่ยงภาษีในการซื้อขายโอนที่ดิน สมัยเป็นผู้บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)
โดย ชูวิทย์ ระบุว่า รู้สึกขนลุก เศรษฐา เป็นบุคคลสาธารณะ เสนอตัวมาเป็นนายกรัฐมนตรีของคนไทย ดังนั้น การตรวจสอบคุณสมบัติของนายเศรษฐาจึงเป็นสิทธิของประชาชนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 160 คนที่เป็นนายกฯ จะต้องมีความซื่อสัตย์เป็นที่ประจักษ์ แต่เศรษฐามีพฤติกรรมซ่อนเร้นน่าสงสัย วางแผนร่วมมือสนับสนุนเป็นคู่สัญญากันในการหลบเลี่ยงภาษี
"เศรษฐา เป็นนายทุน ใช้รถไฟความเร็วสูงสายยิ่งลักษณ์ กระโดดเข้ามาในพรรคเพื่อไทย ไม่ได้ไต่เต้า แต่ไปไต่อะไรก็ไม่รู้ และเมื่อ เศรษฐา กำลังมีชื่อเสนอโหวตเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นสิทธิที่ประชาชน จะวิพากษณ์วิจารณ์คุณสมบัติ" ชูวิทย์ กล่าว
ส่วนตัวได้ปรึกษาทนายความว่า ฟ้องกลับดีหรือไม่ เพราะเป็นการกลั่นแกล้งปิดปาก ถ้ามีใจเป็นธรรมจะต้องชี้แจง แต่กลับเงียบและปิดปาก ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะนายเศรษฐากำลังจะเป็นนายกฯ คนที่เป็นนายกฯ จะต้องมีจริยธรรม 100% มันเป็นเส้นบางๆ ระหว่างเล่ห์เหลี่ยมของนายทุนกับความซื่อสัตย์ ของนายกฯ โดยช่วงบ่ายวันนี้จะเดินทางไปที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันแลปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อยื่นกล่าวโทษเจ้าพนักงานที่ดิน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ซึ่งจะมีคำตอบเรื่องต่าง ๆ ให้
ชูวิทย์ กล่าวต่อว่าต้องเข้าใจคำว่า "วางแผนภาษี" กับ "โกงภาษี" การวางแผนจะไม่จ่ายภาษี 500 ล้านบาท พร้อมตกลงให้สิ่งตอบแทนกับคู่สัญญา การซื้อที่ดินและโอนทีละวันโดยคณะบุคคล ถือเป็นการทำนิติกรรมอำพราง เห็นได้ชัดว่าเป็นการเลี่ยงที่ไม่ถูกกฎหมาย หากเห็นว่าถูกต้องคงต้องประกาศให้เป็นกฎของนายเศรษฐา
ด้าน อนันต์ไชย ชัยเดช ทนายความ เปิดเผยว่าการกระทำความผิดในคดีอาญาต้องมีเจตนาที่เล็งเห็นผล กรณีที่เกิดขึ้นกับนักการเมืองผู้หนึ่ง ถูกตรวจสอบโดย ชูวิทย์ เป็นสิทธิที่จะตรวจสอบได้ เวลาจะซื้อที่ดิน หากมีผู้ถือกรรมสิทธิหลายคนก็ต้องคุยกับทุกคน เมื่อคุยจบแล้วจะต้องมีการโอน วิธีการโอนเพื่อให้จ่ายภาษีน้อยลงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ย้ำว่าจะต้องดูที่เจตนา
ชูวิทย์ บอกด้วยว่า ตนเองจบคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีเพื่อนเป็นผู้ใหญ่ในวงการการเงินและสรรพากร เหตุการณ์เช่นนี้ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก แต่เคยมีคดีในศาลอาญาคดีชำนัญพิเศษมาแล้ว เป็นกรณีตัวอย่างคล้ายคลึงกันแบบชัดเป๊ะ ซึ่งมีการตัดสินความผิด มีโทษตั้งแต่ 7 เดือนขึ้นไปต่อหนึ่งกรรม กรณีของนายเศรษฐามี 12 กรรม
"ผมขุดหลุมพรางไว้ก่อนและล่อให้เดินตกลงมาถึงจะเอาหลักฐานมาแสดงให้ดู สิ่งที่ผู้รู้กฎหมายและผู้สนับสนุนพูด เขาก็เคยตัดสินกันมาแล้วว่าทำไม่ได้ มีความผิด หากใช้กฎหมายเว้นวรรคเป็นศรีธนญชัย 500 ล้านไม่จ่ายแม้แต่บาทเดียว แล้วมาเชิดหน้าชูตาบอกว่าไม่รู้เรื่อง ไม่ใช่เรื่องของผม ถามว่าเหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรีหรือไม่"
ผู้สื่อข่าวถามถึงความเชื่อมั่นการเสนอชื่อนายเศรษฐา เป็นนายกฯ นายชูวิทย์ กล่าวว่า "ไม่ทราบ" เมื่อถามต่อว่าปีนี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ อายุครบ 78 ปีตกที่นั่งจักรพรรดิ จะได้นั่งนายกฯ ชูวิทย์ กล่าวเพียงว่า "เดี๋ยวค่อยมาคุยกัน"