ที่สถานีตำรวจนครบาลดุสิต ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า พร้อมด้วย กฤษฎางค์ นุตจรัส ทนายความศูนย์ทนายเพื่อสิทธิมนุษยชน เข้าพบคณะพนักงานสอบสวนตามหมายเรียกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ในฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมากร้ายพระมหากษัตริย์ ตามที่ เทพมนตรี ลิมปพยอม เป็นผู้กล่าวหา
ปิยบุตร ให้สัมภาษณ์แก่สื่อมวลชนหลังเข้าพบคณะพนักงานฯ ว่า ข้อความที่กล่าวโทษ เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2564 จำนวน 8 ข้อความ ตนได้นั่งอ่านแล้ว และพบว่าไม่มีตรงไหนที่เข้าองค์ประกอบตาม ม.112 และในท้ายที่สุดเจ้าพนักงานสอบสวนมีความเห็นว่าจะต้องตั้งข้อกล่าวหา เพียง 1 ข้อความเท่านั้น ตนคิดว่า วิญญูชนคนมีเหตุมีผล มีสติสัมปชัญญะที่ดี ลองอ่านข้อความเมื่อสักครู่อีกครั้งก็สามารถพิเคราะห์ได้ว่า ไม่เข้าฐานดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ แต่เมื่อเจ้าพนักงานมีความเห็นแบบนี้ก็คงต่อสู้กันไปทางตนเองนั้นจะเตรียมคำให้การมา
ปิยบุตร กล่าวว่า สำหรับตนเรื่องที่โดนคดี ไม่ใช่ตัวเองแค่คนเดียว แต่มันสำคัญกับภาพใหญ่ สำคัญกับเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น ทุกท่านคงต้องยอมรับตรงกันว่า ในยุคสมัยปัจจุบันมีความคิดของเยาวชนคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับการปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ ตนเล็งเห็นว่าเพื่อให้สังคมได้สันติ ฝ่ายที่ต้องการให้ปฏิรูป ไม่ต้องการ หรือฝ่ายที่เฉยๆ สามารถอยู่ในสังคมไทยได้อย่างปกติสุข
"มันต้องมีการพูดคุยในพื้นที่ที่ปลอดภัย นี่คือภารกิจที่ตนเองทำมาตลอด มันคือการเอาใจเขามาใส่ใจเราทั้งสองฝ่าย" ปิยบุตร กล่าว
ปิยบุตร กล่าวต่อว่า หากวันดีคืนดี สังคมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า การแสดงความเห็นทางวิชาการแบบนี้ยังถูกกล่าวโทษ แล้วตกลงจะเหลือทางเลือกไหนให้เดินบ้างในสังคมไทย ตกลงแล้วเราจะปิดพื้นที่ทุกอย่างจนไม่สามารถพูดคุยกันเลยในพื้นที่สาธารณะได้เลยหรือไม่ ข้อความที่ฝ่ายอนุรักษ์นิยมมักจะบอกว่า รุนแรงเกินไปอย่าพูด แล้วท้ายที่สุดข้อความของตนที่แสดงเหตุผลทางวิชาการอย่างตรงไปตรงมา ด้วยความปรารถนาดีต่อสถาบันฯ และประชาธิปไตย สุดท้ายโดน ม.112 อีก แล้วพื้นที่มันจะอยู่ตรงไหน
ปิยบุตร เสริมว่า สำหรับคนที่กล่าวโทษตนนั้นก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัว และอยากเรียนบรรดานักร้องทั้งหลายว่า เวลาจะแจ้งความอะไร ให้พิจารณาด้านกฎหมายบ้าง นี่คือการเอาผิดเรื่องในคดีอาญา มันมีหลักกฎหมายอาญาที่มันต้องเข้าองค์ประกอบกฎหมายอาญา ไม่ใช่เอาจินตนาการ ความรู้สึกนึดคิดไปเอง แล้วเที่ยวแจ้งความ มิใช่ไปแจ้งเพื่อต้องการปิดปาก เรียกว่า โตๆ กันแล้ว มันต้องใช้สมองบ้าง
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่สำนักข่าวท็อปนิวส์มีการวิพากษ์วิจารณ์ข้อความของปิยบุตรเมื่อปี 2559 ปิยบุตร กล่าวว่า เข้าใจสำนักข่าวนี้ว่าเวลาตนโดนกล่าวหาอะไรก็จะพยายามขุดภาพถ่ายต่างๆ มา แต่หลักใหญ่ใจความอยู่ที่ว่า ข้อความนั้นเข้าองค์ประกอบหรือไม่ ไม่ใช่จินตนาการเองเอง สิ่งที่ท็อปนิวส์พูดเข้าข่ายดูหมิ่นตนชัดเจน แต่ไม่เคยคิดจะฟ้อง เพราะการเอาคนเข้าคุก มันจะทำให้คนเกลียดตนเอง การจะทำให้คนรักต้องพูดคุยกัน มีเหตุผลซึ่งกันและกัน ไม่ใช่เอากฎหมายไปปิดปากคนอื่น
ปิยบุตร กล่าวว่า เข้าใจว่าเจ้าพนักงานสอบสวนคงโดนจับตามอง ซึ่งคนที่ไม่ชอบขี้หน้าตนนั้น จะเอาไปปลุกปั่นตลอด อย่างเช่นการที่ตนต้องเดินทางไปพบภรรยาที่ประเทศฝรั่งเศส คนจะมองว่าออกไปได้อย่างไร โดนคดีอยู่ แต่จริงๆ แล้วเงื่อนไขในทางกฎหมายไม่ได้มีเขียนว่าห้ามเดินทาง เพราะตนไม่ได้โดนหมายขัง
ขณะที่ กฤษฎางค์ นุตจรัส กล่าวว่า วันนี้เจ้าพนักงานได้แจ้งข้อกล่าวหา ซึ่งทางปิยบุตรก็ได้รับทราบ และให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ส่วนรายละเอียดนั้น เราคงต้องขอเวลาพนักงานสอบสวน เพื่อทำคำให้การว่า ถ้อยคำที่ถูกกล่าวอ้างมันโต้แย้งกับ ม.112 อย่างไร ซึ่งจะรวบรวมพยานหลักฐานมาต่อสู้ ภายใน 30 วัน นับจากวันนี้ (20 มิ.ย. 2565)
กฤษฎางค์ กล่าวว่า มีข้อสังเกตหนึ่งอย่างในวันนี้คือ วันนี้เรามาพบเจ้าพนักงานตามนัด และไม่ได้มีการควบคุมตัวใดๆ เพราะไม่มีอำนาจควบคุม และในชั้นนี้ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต. ปิยะ ต้ะวิชัยก็ มาเข้าร่วม และเพิ่มภาระให้นิดหน่อยในเรื่องต้องมารายงานตัวทุกๆ 7 วัน ซึ่งอาจจะเป็นการผิดปกติ เพราะในฐานะผู้ต้องหา ยังไม่ได้เป็นจำเลย เพียงแต่ว่าเราได้มีการร่วมมือ และให้ความสะดวกกับพนักงานสอบสวนว่าเราไม่คิดหนี
ด้านท่าทีของรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กฤษฎางค์ กล่าวว่า ไม่ได้เพิ่มความลำบากใจใดๆ เพราะในชั้นแรกที่เราคุยกับพนักงานสอบสวน ในการดำเนินคดีม. 112 ว่ามีแรงกดดัน มีใบสั่งหรือเปล่า และทางท่านรองผู้กำกับการฝ่ายสืบสวนแจ้งว่า ไม่ต้องกังวลใจ ท่านให้ความเป็นธรรมโดยการให้สิทธิพาพยานมาต่อสู้ได้อย่างเต็มที่ และมีสิทธิทำสำนวนพิสูจน์ความยุติธรรมได้อีก 6 เดือน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในระหว่างที่ปิยบุตรเข้าพบคณะพนักงานฯ ได้มีมวลชนจำนวนหนึ่งถือธงระบุข้อความ 'ยกเลิก112' และตั้งโต๊ะลงชื่อให้มีการยกเลิกประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ 'ปลดล็อกท้องถิ่น' รวมถึงส.ส. จากพรรคก้าวไกล นำโดย อมรัตน์ โชคปมิต์กุล ส.ส.นครปฐม พรรคก้าวไกล เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล และรังสิมันต์ โรม โฆษกพรคคก้าวไกล เฝ้าสังเกตการณ์อยู่บริเวณฝั่งตรงข้าม สน.ดุสิต