นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมมอบนโยบายการปฏิบัติงานให้แก่ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ที่กระทรวงพาณิชย์ วันนี้ (19 ก.พ.) ว่า การจะผลักดันการส่งออกไทยปีนี้ให้เติบโตได้ 8% ตามเป้าหมายที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งไว้ จะต้องเพิ่มบทบาทของทูตพาณิชย์ที่เกี่ยวข้องกับการนำนักธุรกิจต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ไม่ใช่มีแค่บทบาทเฉพาะด้านการค้าระหว่างประเทศเท่านั้น
อีกทั้ง ทูตพาณิชย์ต้องมีบทบาทสนับสนุนการส่งออกสินค้าบริการ การให้น้ำหนักความสำคัญกับตลาดส่งออกในแต่ละภูมิภาคที่ต้องแตกต่างกัน เพื่อจัดสรรบุคลากรให้เหมาะสม และสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้มีโอกาสขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เป็นต้น
พร้อมกันนี้ ยังกำชับให้กรมพัฒนาธุรกิจการค้าพิจารณาการสร้างธุรกิจใหม่ๆ และการใช้อี-คอมเมิร์สเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการทำการค้า โดยให้ไปทำงานร่วมกับกรมส่งเสริมการส่งออกเพื่อสร้างผู้ประกอบการหน้าใหม่เข้ามาในตลาด และการให้ความสำคัญกับบิ๊กดาต้าที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลด้านการค้า และการตลาดเพื่อให้ผู้ประกอบการของไทยได้รับทราบและนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจในการทำธุรกิจ
ส่วนสถานการณ์เงินบาทแข็งค่านั้น นายสมคิด เชื่อว่า หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดูแลเต็มที่อยู่แล้ว แต่คงไม่ใช่การเข้าไปแทรกแซงอย่างเปิดเผย อย่างไรก็ดี การที่เงินบาทแข็งค่านั้น ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากมีการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นจึงควรจะส่งเสริมให้นักธุรกิจไทยออกไปลงทุนยังต่างประเทศให้มากขึ้น หรือการให้กองทุนต่างๆ ของรัฐพิจารณาเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในต่างประเทศมากขึ้น
พร้อมกับเปิดเผยว่า ขณะนี้กรมสรรพากรกำลังพิจารณาหามาตรการเพื่อจูงใจให้นักลงทุนไทยที่ไปลงทุนในต่างประเทศนำส่งเงินปันผลกลับมายังประเทศให้ได้มากขึ้น
นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า หลังจากการรับฟังข้อมูลของทูตพาณิชย์ทั่วโลก และปัจจัยกระทบการส่งออกในปี 2561 จึงได้ตั้งเป้าหมายจะผลักดันการขยายตัวของการส่งออกเพิ่มขึ้น 8% มีมูลค่ากว่า 255,630 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เน้นผลักดันการส่งออกไปยังเมืองรองและตลาดใหม่ โดยเฉพาะจีน จะมุ่งเพิ่มมูลค่าและส่งออกผลไม้ตามยุทธศาสตร์ ที่จะผลักดันให้ไทยเป็นมหานครผลไม้ของโลก
ทั้งนี้ ในเป้าหมายการส่งออกขยายตัว 8% ในปี 2561 นั้น อเมริกาเหนือโต 7% ยุโรปโต 5% ตะวันออกกลางโต 5% ลาตินอเมริกาโต 3% แอฟริกาโต 11% รัสเซียโต 30% จีน-ฮ่องกง โต 10% เอเชียใต้โต 8% เอเชียตะวันออกอย่างไต้หวันโต 7% ญี่ปุ่นโต 8% เกาหลีใต้โต 12% อาเซียนโต 6.5% ออสเตรเลียโต 8% เป็นต้น ขณะที่ สถานการณ์การค้าปี 2560 มีมูลค่า 236,694 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 9.9% สูงสุดรอบ 6 ปี
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจธุรกิจ ธ.ไทยพาณิชย์ ชี้บาทแข็ง จุดเสี่ยงส่งออกหลุดเป้า
ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ หรือ SCB EIC ระบุว่า แม้ในปี 2560 สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. ประกาศว่ามูลค่าการส่งออกไทยจะขยายตัวสูงถึง 9.7% จากปีก่อนหน้าอยู่ที่ 0.1% และปริมาณส่งออกขยายตัว 5.9% จากปีก่อน 0.5%
แต่ SCB EIC มองว่า ในปี 2561 ต้องจับตาความเสี่ยงจากเงินบาทแข็งและผลกระทบจากต้นทุนค่าแรงที่สูงขึ้น เนื่องจาก ค่าเงินบาทจะยังคงเป็นปัจจัยกดดันการส่งออก
โดยค่าเงินบาทที่ยังมีแนวโน้มแข็งค่าอยู่ที่ราว 31.00-31.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงนี้ อาจกระทบต่อรายได้ในรูปเงินบาทของผู้ส่งออกไทย ประกอบกับดัชนีค่าเงินบาท (NEER) ในเดือน ม.ค. 2561 ที่ยังแข็งค่าขึ้นกว่า 5.4% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันปีก่อน สะท้อนถึงความสามารถในการแข่งขันด้านอัตราแลกเปลี่ยนของไทยที่ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่ค้า
นอกจากนี้ อีไอซีมองว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในเดือน เม.ย. นี้ ในสภาวะที่ตลาดแรงงานยังคงซบเซา มีความเสี่ยงจะทำให้การชะลอตัวของการจ้างงานเกิดขึ้นยาวนานกว่าเดิม และมองว่าประเด็นตลาดแรงงานถือเป็นประเด็นสำคัญอันดับต้นๆ ที่ต้องจับตาสำหรับทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2561 นี้