ไม่พบผลการค้นหา
การที่โดนัลด์ ทรัมป์ รับรองสถานะเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงของอิสราเอล แสดงให้เห็นว่า เขาสนใจจะเล่นแต่การเมืองในประเทศ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อการเมืองโลก

การประกาศรับรองนครเยรูซาเลมเป็นเมืองหลวงอิสราเอลอย่างเป็นทางการของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 ธันวาคมที่ผ่านมา ทำให้เกิดการประท้วงในกาซา ส่วนผู้นำทั่วโลก ตั้งแต่นายมาห์มุด อับบาส ประธานาธิบดีปาเลสไตน์ สมเด็จพระราชาธิบดีซัลมานแห่งซาอุดีอาระเบีย ประธานสหภาพยุโรป ไปจนถึงนายอันตอนิอู กูแตร์รีช เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ ประณามการตัดสินใจของนายทรัมป์ ขณะที่กลุ่มฮามาส กลุ่มติดอาวุธในปาเลสไตน์ก็เรียกร้องให้ชาวปาเลสไตน์ลุกฮือต่อต้าน 'ผู้ยึดครอง' เป็นครั้งที่สาม

สำนักข่าวเดอะนิวยอร์กไทม์สวิจารณ์ว่า การตัดสินใจครั้งนี้ของนายทรัมป์ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาสนใจแต่การเมืองภายในประเทศ ขอเพียงทำตามใจฐานเสียงของตัวเองเท่านั้น โดยที่ไม่สนใจว่า นโยบายของเขาจะส่งผลกระทบกับโลกอย่างไรบ้าง

10 วันก่อนที่นายทรัมป์จะเข้าไปทำงานในทำเนียบขาว เขาได้พบกับนายเชลดอน จี. อเดลสัน เศรษฐีกาสิโนและผู้บริจาครายใหญ่ให้กับพรรครีพับลิกัน ผู้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับนายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล และนายทรัมป์ได้กล่าวว่า เขาจะให้ความสำคัญกับนโยบายการย้ายสถานทูตสหรัฐฯ จากกรุงเทลอาวีฟไปกับกรุงเยรูซาเลม ซึ่งนายทรัมป์รอเวลาเกือบ 1 ปีก่อนที่จะประกาศรับรองสถานะเยรูซาเลมอย่างภาคภูมิใจว่า ตนได้ทำในสิ่งที่ประธานาธิบดีคนก่อนๆ ทำไม่สำเร็จมาถึง 22 ปี และเขาได้ทำตามคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ช่วงก่อนการเลือกตั้งแล้ว

การรับรองสถานะเยรูซาเลมถือเป็นการตัดสินใจแบบไม่ฟังใครทั้งสิ้น เพราะนายเร็กซ์ ทิลเลอร์สัน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศ และนายจิม แมทิส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต่างเคยแสดงความกังวลว่าอาจเกิดการโจมตีต่อต้านสหรัฐฯ จนเป็นอันตรายต่อทูตและทหารที่ประจำการต่างประเทศ แต่นายทรัมป์ก็พยายามรักษาบุคลิกการตัดสินใจที่เด็ดขาด ไม่สนใจหลักการทางการทูตและหลักการนโยบายต่างประเทศ อย่างที่เคยเห็นกันในการถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสว่าด้วยการแก้ไขสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง หรือการพูดโจมตีข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านของนายบารัก โอบามา ประธานาธิบดีคนก่อน

นอกจากนี้ นายทรัมป์ยังไม่สนใจนโยบายของตัวเองอีกข้อ นั่นก็คือ การพยายามให้กระบวนการเจรจาสันติภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์มีความคืบหน้า ซึ่งมอบหมายให้นายจาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยเชื้อสายยิวของเขาเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบ และนายคุชเนอร์เคยบอกให้นายทรัมป์ลงนามเลื่อนการย้ายสถานทูตออกไปอีก 6 เดือน โดยให้เหตุผลว่า การย้ายสถานทูตไปยังกรุงเยรูซาเลมอาจทำให้กระบวนการเจรจาสันติภาพล่มไปก่อนที่รัฐบาลสหรัฐฯ ของนายทรัมป์จะสามารถสานสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ได้ แต่คราวนี้นายคุชเนอร์กลับอ้างว่าการย้ายสถานทูตจะทำให้การเจรจาสันติภาพทำได้ง่ายขึ้น เพียงเพราะรัฐบาลนายทรัมป์ถูกนายอเดลสันและฝ่ายสนับสนุนอิสราเอลกดดันอย่างหนัก

ภาพ: AFP