ผลวิจัยชี้ภาวะโลกร้อนกำลังคุกคามการใช้งานอินเทอร์เน็ตทั่วโลก โดยระดับน้ำทะเลที่เพิ่มสูงขึ้นจะนำไปสู่การทำลายสายเคเบิลที่เชื่อมต่อเครือข่ายอินเทอร์เนตในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งในสหรัฐฯ ที่มีอัตราการใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุด
รามกริชนัน ดูไรราจัน นักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์จากมหาวิทยาลัยโอเรกอน ประเมินว่า สายเคเบิลไฟเบอร์ออฟติกกว่า 4,067 ไมล์จะจมอยู่ใต้น้ำและศูนย์ควบคุมฮาร์แวร์จะถูกน้ำท่วม หากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันใน 15 ปีข้างหน้านี้ ทั้งนี้สายเคเบิลแบบไฟเบอร์ออฟติกนี้ไม่ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถกันน้ำได้เหมือนกับสายเคเบิลแบบข้ามมหาสมุทร ซึ่งจะรองรับการส่งผ่านข้อมูลระหว่างทวีป
นอกจากนี้ในงานวิจัยดังกล่าวว่ายังระบุว่า พื้นที่บริเวณนิวยอร์ก, ไมอามี่, ซีแอตเทิลและลอสแองเจลิส เป็นพืนที่ที่เสี่ยงจากการหยุดทำงานของระบบอินเทอร์เน็ตมากที่สุด โดยเฉพาะในผู้ให้บริการอย่าง CenturyLink, Inteliquent และ AT & T จะมีความเสี่ยงมากที่สุด
ที่ผ่านมาภาวะโลกร้อนได้ส่งผลให้ระบบอินเทอร์เน็ตและการใช้งานอินเทอร์เน็ตขัดข้องมากแล้ว โดยในปี 2555 เหตุการณ์พายุเฮอร์เคนแซดี้ส่งผลให้เกิดปัญหาอินเทอร์เน็ตขัดข้องทั่วทั้งสหรัฐฯ หลังจากที่ศูนย์โทรคมนาคมในนิวยอร์กถูกน้ำท่วมและเมื่อปีที่ผ่านมาประชาชนเกือบ 1 ล้านคนในฟลอริด้าต่างไม่สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้หลังจากที่พายุเฮอร์ริเคนอิร์มาพัดถล่มบริเวณดังกล่าว
ที่มา weforum / huffingtonpost