ไม่พบผลการค้นหา
‘ปิยบุตร’ เชื่อ ‘ก้าวไกล’ ไม่ถูกพรรครัฐบาลร่วมหักหลังเลือกประธานสภาฯ ยึดคะแนนเสียงประชาชนเลือกมาแล้ว ย้ำพรรคอันดับ 1 ต้องได้ประธานสภาฯ ลั่นไม่กลัวโดดเดี่ยว พร้อมเป็นทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล แนะการเมือง 2 ขั้ว ร่วมเจตนารมณ์ชูนายกฯ ตามที่ประชาชนต้องการ

วันที่ 24 มิ.ย. 2566 ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า กล่าวถึงข้อถกเถียงเรื่องของตำแหน่งประธานสภาฯ ระหว่างพรรคเพื่อไทย และพรรคก้าวไกลว่า ตามที่ ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ได้ออกมาพูดว่า จะมีการพูดคุยกันระหว่างคณะเจรจาของทั้ง 2 พรรค ให้พูดคุยกันรู้เรื่อง ส่วนตัวเป็นคนนอก ไม่ขอแสดงความเห็น 

ปิยบุตร มองว่า ถือเป็นหมุดหมายสำคัญ ถ้าพากันไปอย่างราบรื่น ไม่มีข้อขัดแย้งมากนักจึงเป็นที่คาดหมายว่า การจัดตั้งรัฐบาลก็จะเป็นไปอย่างรวดเร็ว จะได้เป็นไปตามเจตนารมณ์ของประชาชน ที่เลือกทั้ง 2 พรรคมา พร้อมย้ำว่า ประชาชนเลือกก้าวไกล 14 ล้านเสียง พรรคเพื่อไทยเกือบ 11 ล้านเสียง จึงเป็นหน้าที่ของคณะเจรจาทั้ง 2 พรรค ควรจะแปรเอาคะแนนเสียงทั้ง 2 พรรครวมแล้วกว่า 25 ล้านเสียง ให้ออกมาเป็นตัวประธานสภาฯ และตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 

ส่วนถ้าผลที่ออกมา ปรากฎว่า ตำแหน่งประธานสภาฯ กลายเป็นของพรรคเพื่อไทย ปิยบุตร กล่าวว่า ตนมีจุดยืนชัดเจนตลอด ในฐานะคนนอกที่เป็นนักวิชาการ ว่า ตำแหน่งประธานสภาฯ ควรจะให้ พรรคที่ได้ ส.ส. อันดับ 1 แต่สุดท้ายจะเป็นอย่างไร ให้อยู่ที่ 2 พรรคคุยกัน การแสดงความเห็นอาจจะไปกระทบกระทั่งทั้ง 2 พรรคได้ 

ทั้งนี้ หากพรรคก้าวไกลไม่ได้ตำแหน่งประธานสภาฯ จะส่งผลกระทบต่อเรื่องกฎหมาย จุดยืน และสิ่งที่พรรคก้าวไกลต้องการทำหรือไม่ ปิยบุตร กล่าวว่า ตำแหน่งประธานสภาฯ ตามรัฐธรรมนูญที่เขียนไว้ จะต้องวางตัวเป็นกลาง และใครที่จะมาเป็น หากมีตำแหน่งกรรมการบริหารพรรค ก็ต้องลาออกด้วย ตามเจตนารมณ์ คือ ผู้ที่จะมาเป็น ต้องเป็นกลาง และเชื่อว่า ก้าวไกลจะคัดสรรบุคคล ที่จะมาดำรงตำแหน่งและมีความเป็นกลาง 

ส่วนเรื่องการเสนอกฎหมายต่างๆ ที่มีข่าวว่า ส.ส. พรรคก้าวไกล เตรียมเสนอกฎหมาย 40 ฉบับ นั้น ท้ายที่สุด จะผ่านหรือไม่ มองว่า ขึ้นอยู่กับเสียงข้างมากในสภา ไม่ได้เกี่ยวกับตัวประธานสภาฯ เพราะประธานสภาฯ เป็นแค่คนจัดระเบียบวาระเท่านั้น 

ส่วนที่มีการมองว่า คนของพรรคก้าวไกลอาจยังไม่เก๋าเกมในรัฐสภา ปิยบุตร มองว่า การเมืองมันถึงยุคใหม่แล้ว การประเมินว่า ความเก๋า ประสบการณ์ ต้องมาประเมินใหม่ว่า ประเมินจากอะไร ประเมินจากอายุ หรือไม่ก็ไม่แน่เสมอไปว่า คนอายุมากจะเก๋า คนอายุน้อยจะไม่เก๋า แต่ทั้งนี้ มองว่า ประเมินจากความสามารถ ความเฉียบแหลม ซึ่งการศึกษาข้อบังคับและทันเกมการประชุม ตนมองว่า อายุไม่ได้เป็นตัวชี้วัด เพราะถ้าเป็นเข่นนั้น รัฐธรรมนูญคงจะกำหนดอายุไว้ ว่า ประธานสภาฯ ต้องอายุมากๆ 

"ถ้ายึดอายุจริง รัฐธรรมนูญก็คงจะกำหนดไปเลย ในเมื่อทุกคนมีสิทธิ์เท่าเทียมกันตามรัฐธรรมนูญ ที่บอกไว้ว่า ส.ส. ทุกคนมีโอกาสเป็นประธานสภาฯ ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับมติที่ประชุม และอดีตก็เคยมีประธานสภาฯ อายุน้อยมาแล้ว และทำผลงานได้ดี นั่นคือ อุทัย พิมพ์ใจชน" 

ปิยบุตร กล่าวอีกว่า คาดหวังว่า 8 พรรคจะตั้งรัฐบาลได้ หวังว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์หักหลังกัน ในการเลือกประธานสภาฯ ที่มีการลงคะแนนลับ เพราะถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อไร ความหวังของประชาชนที่ลงคะแนนให้พรรคก้าวไกลและเพื่อไทย เท่ากับว่า บรรดาสภาผู้แทนราษฎรทำลายความหวังประชาชนตั้งแต่ครั้งแรก 

ส่วนที่มีข่าวว่า 8 พรรคจะโดดเดี่ยวให้ก้าวไกลเป็น ฝ่ายค้าน ปิยบุตร กล่าวว่า ได้ยินเรื่องนี้มาตั้งแต่ตอนหาเสียงแล้ว แต่ส่วนตัว ช่วยหาเสียงตั้งแต่อนาคตใหม่ มาจนถึงก้าวไกล เห็นความพร้อมจะทำหน้าที่ทั้งสองแบบ แต่รอบนี้ พรรคก้าวไกลมีความตั้งใจจะเป็นรัฐบาล และรัฐมนตรี ซึ่งประชาชนให้ความไว้วางใจด้วย แม้ว่าในหมู่พรรคการเมืองมีความคิดจะโดดเดี่ยวพรรคก้าวไกลก็ตาม แต่เชื่อว่า พรรคก้าวไกลจะไม่โดดเดี่ยว 

ส่วนที่มีมวลชนมากดดันนอกสภาตั้งแต่วาระเลือกประธานสภาฯ ไปจนถึงโหวตนายกฯ จะกลายเป็นปัจจัยในการออกเสียงของสมาชิกรัฐสภาหรือไม่ ปิยบุตร กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่ามีการเตรียมมวลชนมา แต่ต้องยืนพื้นกันที่รัฐธรรมนูญก่อน ที่รับรองเสรีภาพในการแสดงออก ในการชุมนุมอย่างสงบสันติ และปราศจากอาวุธ และมองว่า หากสถาบันการเมืองไม่สามารถตอบสนองความต้องการของประชาขน ทั้งที่เพิ่งเลือกตั้งกันเสร็จหมาดๆ ก็เป็นธรรมดาที่ประชาชนที่จะเห็นความผิดปกติ ไม่ยุติธรรม 

ดังนั้น บรรดา ส.ส. ที่ได้รับตำแหน่งครั้งนี้ มีภารกิจพิเศษ ไม่ว่าจะอยู่พรรคไหน ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ต้องช่วยกันทำให้การเมืองไทย ให้กลับมาสู่ระบบปกติให้ได้ แน่นอนว่า ส.ว. ยังมีอำนาจอยู่ แต่ไม่นานก็หมดอำนาจแล้ว จึงขอให้ใช้โอกาสนี้ ที่จะช่วยกันทำให้เจตนารมณ์ของประชาชนที่ต้องการให้ใครเป็นรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีได้เกิดขึ้นจริง