นพ.เดชา ปิยะวัฒน์กูล จิตเเพทย์ แสดงความเห็นถึงกรณีที่ กรมสุขภาพจิตจัดทำคลิปมารดาของผู้ก่อเหตุกราดยิงเพื่อขอโทษสังคมผ่านสื่อว่า ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว กรมสุขภาพจิตเองก็รู้เรื่องหลักจิตวิทยาของการขอโทษและการให้อภัย รู้ว่าทำไมช่วงแรกมารดาจึงเผลอแก้ตัวให้ลูกชายไปบ้าง เช่นเดียวกับที่รู้ว่าทำไมสังคมบางส่วนจึงโกรธแค้นและกล่าวโทษมารดา
"คุณรู้แล้วคุณทำอย่างนี้ทำไมครับ คุณทำแบบนี้เท่ากับคุณไปตอกย้ำการกล่าวโทษของสังคม ไปตอกย้ำความรู้สึกผิดของมารดา แทนที่จะหาวิธีอื่นช่วยให้ทุกฝ่ายบรรเทาความโกรธแค้นลงก่อน รอเวลาช่วยเยียวยาความสะเทือนใจระดับนึงแล้วจึงค่อยหาทางเคลียร์เรื่องนี้ แต่นี่เปล่าเลย" นพ.เดชา ระบุ
นพ.เดชา ตั้งคำถามต่อว่า มารดาผู้ก่อเหตุผิดอย่างไร เขาไม่ผิดทั้งทางด้านข้อเท็จจริง ทางด้านวัฒนธรรมประเพณี และทางด้านกฎหมาย แล้วคุณก็เป็นกรมสุขภาพจิตของประเทศไทย ประเทศซึ่งมีอารยธรรม ไม่ใช่กรมทำลายสุขภาพจิตของประเทศป่าเถื่อนที่ใครทำผิดทีต้องจับไปประหาร 7 ชั่วโคตร การที่นำคนไม่ผิดมาขอโทษ สิ่งที่เราจะได้คือคำขอโทษปลอมๆ คุณก็รู้
สำหรับประชาชนทั่วไปที่ไม่มีความรู้เรื่องหลักจิตวิทยาของการขอโทษ การขอโทษที่สมบูรณ์มีองค์ประกอบ 4 อย่าง
1. ผู้ขอโทษต้องระบุอย่างจำเพาะเจาะจงถึงการกระทำผิดของตัวเองในรายละเอียด ไม่ใช่เหมา ไม่ใช่เหวี่ยงแห เพื่อพิสูจน์ว่าตนเองไม่ได้ขอโทษไปงั้นๆ
2. ผู้ขอโทษแสดงความเสียใจ แสดงความรับรู้ว่าผู้ที่ถูกตนกระทำนั้นเสียหายอย่างไร เพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงใจของการขอโทษ
3. ผู้ขอโทษแสดงความพยายามเท่าที่จะทำได้ ว่าตนจะไม่ก่อความเสียหายเช่นนี้อีก เพื่อแสดงถึงความรับผิดชอบในการกระทำของตัวเอง
4. ผู้ขอโทษไม่เรียกร้องการให้อภัย มอบสิทธิ์นี้ให้แก่ผู้เสียหายโดยสิ้นเชิง เพื่อเปิดโอกาสให้มีการเยียวยา
"ผมถามว่ามารดาผู้ก่อเหตุจะทำแบบนี้ได้ยังไง อย่างมากเขาก็แสดงความเสียใจในข้อ 2 แต่ไม่ใช่เพราะเขาทำผิด แต่เป็นเพราะเขาเป็นแม่ เขาย่อมรักลูก แล้วเขาก็เป็นมนุษย์ เขาย่อมเสียใจในเรื่องน่าสะเทือนใจยิ่งที่ลูกเขาเป็นผู้ก่อด้วย ความขัดแย้งกันเองในจิตใจนี้ก็ทำร้ายเขามากพออยู่แล้ว คุณจะมาทำอย่างนี้อีก คุณลืมไปแล้วหรือว่าจริงๆแล้วเขาก็เป็นเหยื่อคนนึง การที่คุณทำแบบนี้ ศัพท์จิตวิทยาเขาเรียก guilt injection คือเอาความรู้สึกผิดไปยัดใส่คนๆ หนึ่ง ด้วยเทคนิคทางจิตวิทยา ทั้งๆ ที่เขาไม่ได้ผิด"
"ผมจะบอกให้นะ เหตุการณ์สะเทือนใจนี้ถ้าจะมีผู้ใดผิดนอกจากผู้ก่อเหตุ มันมีอยู่ผู้เดียว สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นองค์กรที่สมควรมีส่วนรับผิดชอบ ทั้งทางด้านข้อเท็จจริง วัฒนธรรมประเพณี และกฎหมายถ้าเป็นอเมริกา สตช.โดนฟ้องหูตูบไปแล้ว จะมาอ้างว่าออกจากราชการไปแล้วยิ่งฟังดูน่าทุเรศ เขาเคยเป็นบุคลากรในสังกัดของคุณ เขามีปัญหามาตลอด แต่พอคุณไม่มีปัญญาดูแลคุณเลยให้เขาออก มันก็ไม่ได้แปลว่าคุณพ้นความรับผิดชอบนี้นะครับ คุณเป็นองค์กรสาธารณะ มีความรับผิดชอบต่อสาธารณะ คุณไม่มีสิทธิ์ปัดสวะให้พ้นตัว"
"ถ้ากรมสุขภาพจิตสมควรจะให้ใครมาขอโทษเพื่อเยียวยาความรู้สึกของประชาชน คุณควรไปลากสตช.นี่แหละมาขอโทษ ทำอย่างที่ผมบอกทั้ง 4 ข้อให้ครบ ...มีปัญญาไหมล่ะ เก่งแต่กับตาสีตาสา หนอย...เรื่องสมควรทำไม่ทำ ดันแสล๋นทำเรื่องที่อุบาทว์มากๆ"
"งานนี้ผมล่ะอยากขอความร่วมมือจากสื่อมวลชนเลย THE STANDARD สื่อควรจะร่วมกันแบนกรมสุขภาพจิตคืนด้วยการไม่เอาคลิปแม่ขอโทษไปออก หลังจากพวกเราโดนกรมสุขภาพจิตเตือนมาเยอะ คราวนี้ล่ะถึงทีเราควรจะเตือนกรมสุขภาพจิตกลับบ้าง"
"แล้วผมรู้นะ...ใครสั่งให้กรมสุขภาพจิตทำ ผมเสียใจมาก อุตส่าห์เบามือกับพวกคุณมาตลอดเพราะเห็นเป็นรุ่นน้องกับลูกศิษย์ และอย่างน้อยก็ยังมีประวัติทำอะไรตามหน้าที่ของตนด้วยหลักวิชาการ แต่พอมาเจออย่างนี้ ผมล่ะโคตรผิดหวัง ถ้าจะเถียง หรืออธิบาย แจ้งมาเลย เดี๋ยวจะพาไปออกทีวี ขอให้จริงก็แล้วกัน" นพ.เดชา กล่าว