ไม่พบผลการค้นหา
‘เครือข่ายอนุรักษ์นกฯ’ ยื่นหนังสือรองประธานสภาฯ ค้านปลดล็อก ‘นกกรงหัวจุก’ จากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง หวั่นนกพันธุ์แท้สูญพันธุ์ หวิดวิวาทะผู้เลี้ยงนก หวังปลดล็อกเพิ่มโอกาสเศรษฐกิจ สุดท้ายคุยกันเข้าใจด้วยดี

วันที่ 18 ต.ค. 2566 ที่อาคารรัฐสภา เครือข่ายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนำโดย สมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย มูลนิธิสืบนาคะเสถียร เข้ายื่นหนังสือค้านต่อ ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 1 และ อภิชาติ ศิริสุนทร สส.แบบบัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อมสภาผู้แทนราษฎร

โดย นณณ์ ผาณิตวงศ์ กรรมการสมาคมอนุรักษ์นกและธรรมชาติแห่งประเทศไทย กล่าวว่าจากสถานการณ์ในการดำเนินการเพื่อปลดนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครองที่ผ่านมา มีการมุ่งเน้นนำเสนอเพียงข้อมูลอันเกี่ยวข้องกับการสร้างเม็ดเงินหมุนเวียนมหาศาล ซึ่งเป็นเพียงการเบียดบังสร้างวิบากกรรมให้นกปรอดหัวโขนเท่านั้น มีได้คำนึงถึงคุณค่าต้านในทางนิเวศอันประเมินมูลด่ามิได้ 

นกปรอดหัวโขนในธรรมชาติซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้กระจายเมล็ดจากขอบป่า ฟื้นฟูพืชในพื้นที่ป่าที่ถูกบุกรุกทำลาย ทั้งยังช่วยควบคุมแมลงศัตรูพืช ถึงแม้จะมีการเลี้ยงนกปรอดหัวโขนจำนวนมาก แต่จากข้อมูล เอกสารทางวิซาการได้ชี้ให้เห็นว่าประชากรในธรรมชาติของนกชนิดนี้กลับสวนทางกับความต้องการเลี้ยงนกที่มีมาก ทั้งยังมีความต้องการในการนำนกชนิดนี้ออกจากออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง สร้างความกังวลต่อความสามารถไนการคุ้มตรองนกชนิดนี้เป็นอันมาก

ดังนั้นคณะเครือข่ายพันธมิตรด้านสิ่งแวดล้อม ขอเรียกร้องให้หยุดการดำเนินการปลดนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครองทันที ด้วยเหตุผลและข้อเสนอดังนี้

1.นกปรอดหัวโขนนั้น มีความสำคัญต่อระบบนิเวศ และมีจำนวนประชากรซึ่งมีแนวโน้มลดลงอันอาจส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศน์ ซึ่งตรงกับความหมายของ สัตว์ป่าคุ้มครอง ตาม พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562

2.นกปรอดหัวโขนอยู่ในบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดที่เพาะพันธุ์ได้ ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนการขออนุญาตตามกฎหมาย

3.การพยายามนำนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง เป็นการสนับสนุนเพียงมุมมองเชิงเศรษฐกิจด้านเดียว มิได้คำนึงถึงมูลค่าและคุณค่าความสำคัญทางความหลากหลายทาง ชีวภาพที่เกิดจากนกปรอดหัวโขน

4.การนำนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง เป็นการส่งเสริมการ ล่า ดัก จับนก และพรากลูกจากรังโดยใช้เครื่องมือดักนกต่างๆ ซึ่งเป็นการสนับสนุนการทำผิดกฎหมายซึ่งได้ แอบคำเนินการอยู่ในขณะนี้

และ 5.การนำนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครองสร้างความกังวลว่า จะนำไปสู่การขอนำสัตว์ป่าคุ้มครองชนิดอื่น ๆ ออกจากบัญชีต่อไป ซึ่งจะกระทบวงจรชีวิตสัตว์ป่าอื่น ๆ ในธรรมชาติตามห่วงซ่อาหารและกาดบริการระบบนิเวศที่เกิดขึ้น

ดังนั้นเครือข่ายพันธมิตรด้านสิ่งแวตล้อม ขอให้หยุดการดำเนินการปลดนกปรอดหัวโขนออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครองทันที

นณณ์ กล่าวว่า จากข้อมูลที่ทางกลุ่มได้รวบรวมไว้ พบว่า 50 ปีที่ก่อนหน้านี้ นกกรงหัวจุกถูกพบได้อย่างแพร่หลายทั่วประเทศ แต่ 30 ปีให้หลังมี รายงานจำนวนประชากรในธรรมชาติที่ลดลง โดยเฉพาะในภาคใต้ ล่าสุด 7 ปีที่ผ่านมา จากการตรวจสอบข้อมูลผ่าน แอปพลิเคชัน พบว่าเจอที่ภาคใต้ไม่ถึง 100 ครั้ง

ในส่วนที่มีกระแสบอกว่าหากมีการปลดออกจากสัตว์ป่าคุ้มครองแล้ว นกปรอดหัวโขนจะมีจำนวนประชากรในป่าเพิ่มขึ้นนั้น ดร.นณณ์ อธิบายว่า จากข้อมูลเชิงวิชาการระบุว่า นกชนิดดังกล่าวพบมากในบริเวณพื้นที่ใกล้ชุมชน โดยเฉพาะที่ราบ เทือกสวนไร่นา และไม่ได้อาศัยอยู่ในป่าทึบ 

ดังนั้นการปลดล็อคให้นกปรอดหัวโขนออกจากรายชื่อบัญชีสัตว์ป่าคุ้มครอง อาจเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการที่จะถูกล่า เนื่องจากนกเหล่านี้ อาศัยในพื้นที่ที่อยู่ใกล้มนุษย์ และอาจเป็นความเสี่ยงที่จะเกิดการสูญพันธ์ไปในธรรมชาติด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการแถลงข่าว ได้มีกลุ่มตัวแทนผู้เลี้ยงนกกรงหัวจุกจากหลายจังหวัด ที่ได้เดินทางมาเข้าร่วมการสัมมนารับฟังความเห็นเกี่ยวกับกฎหมายของนกกรงหัวจุก ที่จัดโดย กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช และมี พิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาฯ คนที่ 2 เป็นประธานเปิดงาน ได้เดินขึ้นมาบริเวณที่มีการแถลงข่าว

จากนั้น ตัวแทนผู้เลี้ยงนกได้เข้ามาพูดคุยกับ นายนณณ์ สมาคมอนุรักษ์นกฯ แลกเปลี่ยนความเห็นต่างเรื่องการปลดล็อกนกกรงหัวจุกออกจากบัญชีรายชื่อสัตว์ป่าคุ้มครอง โดยฝ่ายผู้เลี้ยงขอให้มองโอกาสทางเศรษฐกิจที่จะได้หากมีการปลดล็อก ซึ่งผ่านไปสักครู่ ทั้ง 2 ฝ่ายก็เข้าใจกันด้วยดี ว่าต่างเห็นความสำคัญของการเลี้ยงนก แต่การปลดล็อกทันทีอาจส่งผลให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถเข้าไปล่านกในธรรมชาติ จนเสี่ยงต่อการทำให้ประชากรนกลดลงอีก