เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 2566 ทำเนียบรัฐบาล รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธาน กมธ.การแก้ปัญหาความยากจนฯ วุฒิสภา พร้อมด้วยนายอภิชาติ โตดิลกเวชช์ รองประธานคณะกรรมาธิการฯ นายชีวะภาพ ชีวะธรรม และนางสาววนิดา ฮอร์ณ อนุกรรมาธิการฯ เข้าพบหารือและแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นกับ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ประเด็นสำคัญดังนี้
เรื่องการแก้ปัญหาความยากจนและลดความเหลื่อมล้ำในมิติต่างๆ โดยหยิบยก 3 ประเด็นแก้จน เพื่อเป็นข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ได้แก่
1. แผนบรูณาการบริหาคจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็ก เสนอแนวทางใหม่ เพื่อให้กระจายน้ำไปถึงประชาชนควรกำหนดเพิ่มเติม โครงการแหล่งน้ำขนาดเล็ก ด้วยฝายแกนดินซีเมนต์ เพื่อกำหนดสัดส่วนงบประมาณใหม่ให้เหมาะสม โดยมีแม่น้ำลำคลอง 22 ลุ่มน้ำ และแม่น้ำสายหลัก สายรอง และลำน้ำขนาดเล็กๆ อีกจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนทั่วทุกจังหวัด เนื่องจากเป็นพื้นที่ต่ำสุดที่น้ำไหลไปรวมตัวกันตามธรรมชาติ เป็นพื้นที่เก็บกักน้ำโดยไม่ต้องลงทุนขุดสระ อ่าง หรือเขื่อน โดยสร้างฝายแกนดินซีเมนต์กั้นลำน้ำเป็นช่วงๆ ก็จะได้น้ำมหาศาล
2. กรณีความเหลื่อมล้ำกับไร้ที่ดินทำกิน เร่งรัดการทำงานของ คทช. ให้สำเร็จครบถ้วนตามเป้าหมาย เร่งแก้ 5 ปัญหาสำคัญ ได้แก่
(1) พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติประกาศทับซ้อนพื้นที่อยู่อาศัยทำกินของประชาชน
(2) กรณีการแก้ไขปัญหาการขออนุญาตพื้นที่ป่าไม้ และอุทยานเพื่อพัฒนาการทำฝายแกนดินซีเมนต์การสร้างถนนและสาธารณูปโภคพื้นฐานสำหรับชุมชน เพื่อเป็นฐานการพัฒนาด้านอาชีพในด้านต่างๆ เพื่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนที่อยู่อาศัยทำกินในเขตคาบเกี่ยวกับพื้นที่ของกรมป่าไม้และกรมอุทยาน
(3) การเพิ่มศักยภาพของที่ดินในเขตป่าไม้เสื่อมโทรมที่มีประชาชนอยู่อาศัยทำกินอยู่แล้ว เพื่อพัฒนาอาชีพด้านการท่องเที่ยว
(4) การสำรวจถือครอง จัดสรรที่อยู่อาศัยทำกินในเขตที่รกร้างว่างเปล่าที่ดินสาธารณะประโยชน์ ที่ดินของรัฐอื่นๆ ที่ดินตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พุทธศักราช 2484 ที่ได้อยู่อาศัยทำกินอยู่ก่อนแล้วตามหลักเกณฑ์ของ “คทช.“ ให้อยู่อาศัยทำกินได้ตามระเบียบและกฎหมาย
(5) ประเด็นปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหากรณีบุกรุกยึดถือครอบครองที่ดินตาม พ.ร.บ. ป่าไม้ พุทธศักราช 2484 และไม่สามารถอยู่อาศัยทำกินในพื้นที่เดิมได้ในช่วงดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรม
3. กรณีแก้จนพ้นเหลื่อมล้ำโดยเพิ่มรายได้ โดยชู 2 แนวทาง ได้แก่
(1) Scale up ผู้ประกอบการมืออาชีพ
(2) บริหารจัดการธุรกิจการตลาด S curve เกิดธุรกิจใหม่ รายได้ก้าวกระโดด
ผลการหารือ
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เห็นด้วยกับข้อเสนอของคณะกรรมาธิการฯ และสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งการบริหารจัดการแหล่งน้ำขนาดเล็ก โดยจากการประชุม ครม.สัญจร ที่ผ่านมาที่ จ.หนองบัวลำภู ได้เสนออนุมัติการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ 92 โครงการ เพื่อแก้ปัญหาให้กับพี่น้องในพื้นที่ พร้อมกันนี้ รองนายกฯ ยินดีที่จะให้ทีมวิศวกรการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ของคณะกรรมาธิการฯ ร่วมเป็นที่ปรึกษาในการดำเนินการด้วย
สำหรับประเด็นปัญหาคนอยู่กับป่า ยังมีข้อกฎหมายที่เป็นปัญหาอุปสรรคในทางปฏิบัติ เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลายหน่วยงาน แม้จะมีการบูรณาการกัน แต่เมื่อยังไม่แก้กฎหมายทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ลำบาก อย่างไรก็ตามจะเร่งดำเนินการ โดยเร่งจัดทำ One map ในการดำเนินการต่อไป
ต่อประเด็นด้านเศรษฐกิจ ซึ่งตนได้กำกับดูแลหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง พบว่า ยังมีปัญหาที่ต่างคนต่างทำ ซึ่งตอนนี้ได้มีการสร้างทีมพาณิชย์เพื่อยกระดับเศรษฐกิจของประเทศต่อไป
ท่านรองนายกรัฐมนตรีได้หารือถึงเรื่องจุดอ่อนบางประการของฝายแกนดินซีเมนต์ตามที่ได้ทราบมาคือ
ประเด็นแรก คือความสามารถของฝายแกนดินซีเมนต์ในการต้านทานแรงน้ำในหน้าน้ำว่ามีมากน้อยเพียงใด และจะสามารถต้านทานแรงน้ำได้จริงหรือไม่ และ
ประเด็นที่สอง คือการสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ที่มีขนาดใหญ่ ยังมีผู้ที่วิตกว่าจะไม่ปลอดภัยพอในการใช้งาน การสร้างฝายแกนดินซีเมนต์ขนาดเล็กจะปลอดภัยกว่า และดีกว่าฝายขนาดใหญ่ใช่หรือไม่
สำหรับประเด็นแรก ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้กล่าวตอบว่าฝายแกนดินซีเมนต์เป็นฝายที่มีขนาดความสูงค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับฝายประเภทอื่นๆ และเมื่อเปรียบเทียบกับปริมาณน้ำในหน้าน้ำ กล่าวคือฝายแกนดินซีเมนต์โดยทั่วไปมีความสูงระหว่าง 1 - 1.5 เมตร และถูกจำกัดความสูงไว้ไม่เกิน 2 เมตร ในขณะที่ปริมาณน้ำในหน้าน้ำมีความสูงระหว่าง 6-12 เมตร ดังนั้นฝายแกนดินซีเมนต์จึงเป็นฝายที่มักถูกเรียกกันว่า “ฝายดำน้ำ” หรือ “ฝายใต้น้ำ” ฉะนั้นในหน้าน้ำเมื่อน้ำไหลมาจึงท่วมตัวฝายไปได้ตลอดเวลา
ฝายประเภทนี้มิได้สร้างขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายที่จะเก็บน้ำไว้เป็นจำนวนมาก และมิได้มีจุดมุ่งหมายในการสร้างขึ้นเพื่อต่อต้านกำลังแรงของน้ำในหน้าน้ำ ดังนั้นเท่าที่ที่ผ่านมาฝายแกนดินซีเมนต์หรือฝายดำน้ำจึงสามารถอยู่ร่วมกับกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากได้อย่างเป็นดี และยังไม่เคยมีข่าวว่าฝายดำน้ำจะถูกทำลายจากความรุนแรงของกระแสน้ำในหน้าน้ำจาก ณ ที่แห่งใดในประเทศไทย
ประการที่สอง ยังมีมีผู้ที่เข้าใจผิดเป็นจำนวนมากว่าฝายขนาดเล็กจะมีความปลอดภัยกว่าฝายขนาดใหญ่ เพราะความจริงแล้ว ความไม่ปลอดภัยของฝายขึ้นอยู่กับ “ความสูง” ของฝาย มิใช่ขนาด “ความกว้าง“ ของฝายแต่อย่างใด
ฝายแกนดินซีเมนต์โดยทั่วไปเน้นไปที่ความสูงระหว่าง 1.2 - 1.5 เมตรเป็นหลัก เพราะฉะนั้นถึงจะสร้างฝายที่มีขนาดตั้งแต่ 5, 10, 30, หรือ 50 -100 เมตร ก็ไม่มีความแตกต่างกัน แต่ฝายที่มีขนาด 50-100 เมตรและสูงเพียง 1.5 เมตร จะปลอดภัยกว่าฝายที่มีความกว้าง 10 เมตรแต่สูง 5 เมตร เพราะความไม่ปลอดภัยของฝายอยู่ที่ความสูงของฝาย มิใช่ความกว้างแต่ประการใด ฝายส่วนใหญ่ที่ถูกกระแสน้ำพัดทำลายนั้นเป็นเพราะมีส่วนสูงมากเกินไปนั่นเอง
ประธานคณะกรรมาธิการฯ ได้กล่าวเสริมว่า เพื่อเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ระหว่างคณะกรรมาธิการฯ กับคณะทำงานของรัฐบาล คณะกรรมาธิการฯ มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะใคร่ขอเรียนเชิญคณะทำงานของรัฐบาลร่วมเดินทางไปศึกษาและดูงานฝายแกนดินซีเมนต์ระหว่างวันที่ 10-12 มกราคม 2566 ที่จังหวัดน่าน พะเยาและเชียงราย ซึ่งจะมีคณะของวุฒิสภาจำนวนหนึ่งร่วมเดินทางไปศึกษาดูงานฝายแกนดินซีเมนต์ด้วย
ท่านรองนายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ที่มีความพร้อมร่วมเดินทางไปศึกษาดูงานในครั้งนี้ด้วย และตัวท่านเองสนใจที่จะเดินทางไปศึกษาดูงานในครั้งนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
ช่วงท้ายนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้กล่าวขอบคุณคณะกรรมาธิการฯ ที่ได้มีข้อเสนอดีๆ และจะนำข้อเสนอต่างๆ ไปหารือกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อไป