ไม่พบผลการค้นหา
"สมชัย ศรีสุทธิยากร" ระบุประเด็นสำคัญที่สามารถนำไปสู่การถอดถอน กกต. ชุดนี้ได้คือ สูตรคำนวณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ ชี้ กกต. ต้องมีความชัดเจนในเรื่องนี้ มีการตีความหมายได้ 2 แบบ

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงจุดตายของคณะกรรมการการเลือกตั้งชุดปัจจุบัน ว่า ความวุ่นวายไม่เรียบร้อยในการจัดการเลือกตั้งในเรื่องต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งนอกราชอาณาจักร นอกเขต การนับคะแนน การรายงานผล บัตรเขย่ง การให้ข้อมูลที่ไม่ชัดเจน เป็นข้อบกพร่องในการปฏิบัติหน้าที่ โดยไม่อาจเป็นสาเหตุเพียงพอหรือมีนัยยะสำคัญนำไปสู่การถอดถอนหรือลงโทษใดๆ ต่อ กกต. ได้ ชัดเจนนัก

เพราะถ้าจะให้เกิดความเป็นธรรม การที่ กกต. เพิ่งเข้ามาใหม่ ความเข้าใจในรายละเอียดต่างๆ กับการเลือกตั้งที่ต้องอาศัยบุคลากรร่วมล้านคนมาช่วยกันทำงานนั้นยากที่ กกต. จะเข้าไปกำกับดูแลให้เกิดความเรียบร้อย ทุกอย่างจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งต้องรับผิดชอบมากกว่า แต่กระแสสังคมกลับมาลงที่ กกต. ทั้ง 7 คนนี้

แต่เรื่องหนึ่งที่นายสมชัย อยากเตือน และเป็นจุดตายแน่นอนที่อาจนำไปสู่การถอดถอนอย่างมีเหตุผลและอาจนำไปสู่ความผิดทางอาญาได้โดยง่ายหากยังไม่ใส่ใจโดยยังให้สำนักงานเป็นผู้กระทำโดยปราศจากการกำกับอย่างจริงจัง คือ สูตรการคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อ

การคำนวณ ส.ส. บัญชีรายชื่อนั้น มีขั้นตอนการคำนวณ เขียนไว้ในมาตรา 128 ของ พ.ร.ป. ส.ส. ที่อ่านแล้วไม่สามารถเข้าใจได้โดยง่าย และสามารถอ่านแปลความหมายนำไปสู่การคำนวณที่แตกต่างกันและทำให้เกิดผลแตกต่างกันอย่างน้อย 2 แบบ คือ

แบบแรก เป็นแบบที่เห็นเผยแพร่ในสื่อทั่วไป ทำให้มีพรรคเล็กได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 1 ที่นั่ง เพิ่มขึ้นมาจำนวน 11 พรรค โดยเป็นพรรคที่ได้คะแนนระหว่าง 33,728 - 69,417 คะแนน ซึ่งเป็นคะแนนที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของ ส.ส. 1 ที่นั่ง ที่คำนวณไว้ว่าเท่ากับ 71,065 คน เป็นการขัดเหตุผลว่า คะแนนแค่สามหมื่นเศษ ทำไมถึงได้ ส.ส. ในขณะที่พรรคใหญ่และพรรคกลางต้องใช้คะแนนถึงเจ็ดหมื่นเศษถึงจะได้ ส.ส. 1 คน

แบบสอง เป็นการคำนวณโดยนักวิชาการ ที่นำแต่ละบรรทัดของกฎหมายมาแปลความและทดลองคำนวณ ซึ่งมีผลทำให้ 11 พรรคเล็กที่มีคะแนน ส.ส. เขตต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 71,065 คน ไม่ได้รับการจัดสรร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และทำให้พรรคกลางและพรรคใหญ่มีจำนวน ส.ส. เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ การตัดสินใจแบบใดแบบหนึ่ง หากมีการพิสูจน์ว่า เป็นการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของ กกต. เพื่อไปสนับสนุนให้พรรคการเมืองใด ชนะการเลือกตั้งและสามารถตั้งรัฐบาลได้ จะตรงกับข้อหาที่ กกต. ชุดที่สองเคยโดนมาก่อน คือ "กระทำการเพื่อให้เกิดความได้เปรียบของพรรคการเมืองหนึ่งทำให้สามารถจัดตั้งรัฐบาลได้" ผลคือ กกต. ถูกตัดสินจำคุก ซึ่งเรื่องนี้จึงเป็นเรื่องที่ กกต. ทั้ง 7 คน ต้องคิดและรับฟังจากทุกฝ่ายให้รอบคอบ เพราะแปลความผิดอักษรเดียว มีพรรคที่ได้ มีพรรคที่เสีย และเขาฟ้องแน่นอน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง