ไม่พบผลการค้นหา
ศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย ประเมินเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตร้อยละ 1.5 เหตุโควิด-19 เขย่าเศรษฐกิจทั่วโลก กินเวลา 6 เดือนเต็ม ฉุดรายได้ท่องเที่ยวของไทยในปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท ชี้ภัยแล้งรุนแรง สะเทือนพืชผลการเกษตรหลักสูญเสียถึง 5.8 หมื่นล้านบาท คาดมีโอกาสเห็นอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงไปอยู่ที่ร้อยละ 0.75% ต่อปี ในครึ่งปีแรก ราคาน้ำมันลงแรงเอกชนลดลงทุน

นายพชรพจน์ นันทรามาศ ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส ศูนย์วิจัย Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 (โควิด-19) ที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก ส่งผลกระทบอย่างมากต่อภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออก ที่เป็นเครื่องยนต์หลักทางเศรษฐกิจไทย โดยคาดว่ารายได้จากการท่องเที่ยวของไทยปีนี้จะหายไปราว 2.78 แสนล้านบาท จำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีแรกเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ในกรุงเทพฯ จะลดลงประมาณ 3 ล้านคน จ.ภูเก็ตและเชียงใหม่จะลดลงกว่า 1 ล้านคน

โดยรายได้ของธุรกิจโรงแรม ร้านอาหารและแหล่งช้อปปิ้งต่างๆ จะได้รับผลกระทบเป็นมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท ส่วนด้านการส่งออก คาดว่าจะหดตัวร้อยละ 1.9 โดยผลกระทบต่อการส่งออกคาดว่าจะสั้นกว่าผลกระทบต่อภาคการท่องเที่ยว

“การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมากกว่าที่หลายฝ่ายคาด เนื่องจากการแพร่ระบาดไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประเทศจีนแล้ว แต่ได้ลามไปประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่อื่นๆ ด้วย เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และอิตาลี โดยขณะนี้ยังไม่สามารถคาดการณ์ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ ซึ่งหากใช้เวลา 6 เดือนเต็ม มีโอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตเพียงร้อยละ 1.5 ภาพการลงทุนของเอกชนในปีนี้จึงไม่สดใสนักและมีแนวโน้มจะชะลอเพิ่มเติมเพราะราคาน้ำมันลดลงแรง” นายพชรพจน์ กล่าว

นายพชรพจน์ กล่าวว่า นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับอีกหลายปัจจัยเสี่ยง ทั้งภัยแล้ง เศรษฐกิจอาเซียนที่ชะลอลง สงครามการค้าที่ยังยืดเยื้อ และข้อตกลง EVFTA ของเวียดนามที่จะเพิ่มอุปสรรคต่อการส่งออกสิ่งทอไทยในตลาดยุโรป โดยเฉพาะภัยแล้งหากรุนแรง อาจทำให้พืชผลการเกษตรหลัก ได้แก่ ข้าว มันสำปะหลัง และอ้อย สูญเสียรวม 5.8 หมื่นล้านบาท กระทบต่อกำลังซื้อของครัวเรือนในภาคเกษตร

นายมานะ นิมิตรวานิช ผู้อำนวยการฝ่าย กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาครัฐจะเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ ผ่านการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2563 ของทุกส่วนราชการ โดยการเบิกจ่ายรายจ่ายประจำจะสามารถเบิกจ่ายเต็มวงเงินที่ 2.4 ล้านล้านบาท ส่วนงบลงทุนจะเบิกจ่ายได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 67 สูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่ผ่านมา

นอกจากนี้ คาดว่าภาครัฐจะระดมมาตรการกระตุ้นการบริโภคออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศหลังโควิด-19 คลี่คลาย การต่อยอดมาตรการกระตุ้นการบริโภค ชิมช้อปใช้ มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชนและประคับประคองเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปีนี้ ส่วนภาวะตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้จะได้รับประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะการลดค่าธรรมเนียมและจดจำนอง

“ด้านนโยบายการเงิน Krungthai COMPASS มองว่ามีแนวโน้มที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจะผ่อนคลายเพิ่มเติม และมีโอกาสจะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายไปอยู่ที่ร้อยละ 0.75 ต่อปี ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เพื่อลดภาระการชำระหนี้ให้กับผู้ประกอบการและครัวเรือน ค่าเงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าลงในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสที่สอง แต่จะกลับมาแข็งค่าขึ้นตามการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่าจะเกินดุลในระดับสูงเนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลงอย่างมาก” นายมานะ กล่าว

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :