วันที่ 2 พ.ย. ที่อาคารรัฐสภา วุฒิพงศ์ ทองเหลา สส.ปราจีนบุรี อดีตพรรคก้าวไกล เปิดเผยภายหลังถูกขับออกจากสมาชิกพรรคเมื่อคืนที่ผ่านมา กรณีปรากฏแชทการสนทนาซึ่งมีลักษณะคุกคามทางเพศ โดยระบุว่า ตอนนี้กระบวนการของพรรคสิ้นสุดลง แต่กระบวนการต่อไปคือการพิสูจน์ความจริงโดยส่วนตัว และครอบครัว เพราะที่ผ่านมาเสียหายค่อนข้างเยอะ จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนรู้สึกอึดอัด ที่ไม่เคยได้ออกชี้แจงเนื่องจากอยู่ภายใต้กระบวนการของพรรคและต้องเคารพกระบวนการสอบวินัย
เรื่องนี้เป็นประเด็นที่ไม่ซับซ้อน การคุกคามทางเพศมีระดับโทษ ตั้งแต่ถูกเนื้อต้องตัว คำพูด การส่งข้อความตามที่ตนเป็นข่าว รวมไปถึงการแสดงออกเชิงคุกคาม ซึ่งกรณีก่อนหน้าที่ถูกเคยถูกลงโทษเกี่ยวกับคดีทางเพศเหมือนกับตนโดน แต่มีการลงโทษแค่ทำทัณฑ์บน 1 ปี แต่กรณีของตนรุนแรงที่สุด จึงค่อนข้างผิดหวัง การขับออกหมายถึงเรากระทำผิด หากยึดตามมาตรฐานตำรวจในการรับแจ้งคดีที่เกี่ยวทางเพศ ต้องเกิดขึ้นภายใน 3 เดือน หรือ หากเป็นเรื่องของ สส.ต้องเกิดขึ้นตอนเข้ามาดำรงตำแหน่ง สส.ก่อน แต่เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อเดือน มิ.ย. ปีที่แล้ว ที่ผู้ร้องเรียนนำเอกสาร 200 หน้า มาร้องตั้งแต่ตนยังเป็นคนทำงาน
เมื่อถามว่าทางพรรคไม่ได้ฟังข้อเท็จจริงในส่วนของเราเลยใช่หรือไม่ วุฒิพงศ์กล่าวว่า เรื่องนี้มีกระบวนการที่ซับซ้อน มีเรื่องการทุจริตในจังหวัด ที่ตนเคยแจ้งไปยังพรรคแต่ยังมีการเพิกเฉยก่อนจะเกิดเรื่องที่ตนถูกร้องเรียน จึงตั้งข้อสังเกตว่า เราจะเห็นการแถลงข่าวของกรรมการบริหารพรรคล่วงหน้าบางท่าน ถือว่าเป็นการชี้นำหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีการให้สัมภาษณ์ล่วงหน้า 2 วัน เป็นธรรมหรือไม่ ส่วนตัวไม่ขอก้าวล่วงว่าทำไปเพราะอะไร และเคารพมติของพรรค ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีที่ตัวเองจะได้เดินหน้าต่อ
วุฒิพงศ์ ยังกล่าวว่า ตนได้เข้าไปถูกสอบสวนวินัย ตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. มีกรรมการทั้งหมด 7 ท่าน แต่มาเพียง 6 ท่าน และก็มาสายกว่าหนึ่งชั่วโมง และ ในครั้งที่ 2 วันที่ 30 ต.ค. กรรมการเหลือเพียง 5 ท่าน และมาสายเหมือนเดิม ที่สำคัญกรรมการคนที่ 5 เข้ามาในช่วง 5 นาทีสุดท้ายก่อนยุติการสอบสวน จึงมองว่าคณะกรรมการวินัยสอบสวนไม่เห็นความสำคัญในข้อมูลของตน ความสำคัญระดับชีวิตคน ผู้แทนราษฎรของคนทั้งจังหวัดปราจีนบุรีไม่ใช่เรื่องล้อเล่น แต่กลับมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นในกระบวนการ
อย่างไรก็ตาม วุฒิพงศ์ กล่าวว่า ต้องเคารพกระบวนการ ส่วนจะเป็นธรรมหรือไม่ อยากให้สังเกตกระบวนการก่อนหน้า และต่อจากนี้ ว่าเป็นอย่างไร ซึ่งหากมีการแทรกแซงภายในจังหวัด พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าการตั้ง สส.เป็นกรรมการวินัยทั้งหมดมีความเหมาะสมหรือไม่
“ความจริงแล้วเรื่องการคุกคามทางเพศ ควรเป็นหมอ หรือจิตแพทย์โดยตรง ว่าผู้ถูกคุกคาม มีความรู้สึกว่าถูกคุกคามจริงหรือไม่ ก่อนหน้านี้เป็น สส.ทั้งหมดที่สอบสวนผม ผมเป็น สส.ภูธร ทำงานเชิงประเด็น จึงไม่มีคอนเนคชั่นกับ สส.ที่ทำงานเชิงการเมือง เสียงจึงห่างกับอีกกรณีไม่กี่ 10 เสียง” วุฒิพงศ์ กล่าว
วุฒิพงศ์ กล่าวว่า ยืนยันว่าเป็นเรื่องของการเมืองภายในพรรค กรณีของ ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. พรรคก้าวไกล ขอตอบแทนว่า เขาต้องการที่จะสอบสวนจากภายนอก ไม่ได้ต้องการเข้าสู่กระบวนการของพรรค เพื่อน สส.หลายคนอึดอัด เพราะ สส.ควรมีหน้าที่ในฝ่ายนิติบัญญัติในการผลักดันกฎหมาย แต่ต้องมาเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ ซึ่งตนเคยเสนอกับพรรค ว่าให้เข้าสู้กระบวนการยุติธรรมภายนอก ซึ่งง่ายและไวกว่าแต่พรรคกลับใช้กระบวนการภายใน
“ขอยกตัวอย่างว่า ถ้าผมไม่ถูกกรรมการบริหารพรรคบางท่าน หรือเพื่อนส.ส.บางคน เหตุการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้นได้หรือไม่ ผมอยากมูฟออนออกจากตรงนี้ พื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ผมเพิ่งก้าวเข้ามาใหม่ ส่วนที่ผ่านไปแล้วก็ขอให้ผ่านไป ส่วนที่ตนมั่นใจในพรรคผมก็เสียใจ เขาไม่ให้เราพูดมาตลอดเราก็พูดไม่ได้
โดยเป็นมติพรรคที่ สส.ทราบดี พอได้พูดก็คือวันนี้ ผมเสียใจที่ไม่มีคอนเนคชั่นเรื่องการเมือง หลังจากนี้ก็ยังคิดไม่ออกว่าจะไปไหน และที่เสียใจมากก็คือ โหวตเตอร์ในจังหวัดปราจีนบุรี ไม่เคยเปลี่ยนแปลงมา 50 ปี ผมอยากจะขอโทษพี่น้องชาวปราจีนบุรีที่ทำให้ผิดหวัง ถึงแม้ข้อมูลการรับผิดชอบ หลังจากนี้จะมีการกระบวนตามมา” วุฒิพงศ์ กล่าว
เมื่อถามว่ายอมรับหรือไม่ว่าเรื่องนี้จะติดตัวไป วุฒิพงศ์ กล่าวว่า หากพิสูจน์ได้จากกระบวนการภายนอก ถ้าแก้ไขตรงนี้ได้คนจะตระหนักว่าการคุกคามทางเพศคืออะไร อย่างเช่นในพื้นที่ก็เข้าใจว่าเป็นการข่มขืน ซึ่งตอนนี้กำลังใจพื้นที่ยังดี แต่ก็จะมีบางกลุ่มที่ไม่เกี่ยวข้อง แบ่งฝักแบ่งฝ่ายโจมตี ยืนยันว่าเรื่องนี้จะไม่อุทธรณ์ และยังไม่เตรียมพร้อมเข้าพรรคอื่น ซึ่งตนต้องแสดงจุดยืนให้กับพรรคที่จะเข้าไป
เมื่อถามว่าคิดอย่างไรที่มีการกดดันให้ลาออกจากในพรรคก้าวไกล วุฒิพงศ์ กล่าวว่า ในขณะนั้นเหตุการณ์ยังไม่ถึงที่สุด แต่เรากลับตั้งตัวเป็นศาล ขณะที่เราไม่ยอมรับศาลรัฐธรรมนูญ แต่เราทำตัวเป็นศาลเพื่อตัดสิน ตนคิดว่ากระบวนการที่จะได้สส. 1 คน มาจากคนหลายหมื่นหลายแสนคน
เมื่อถามว่าได้ชี้แจงสิ่งเหล่านี้กับพรรคหรือไม่ วุฒิพงศ์ กล่าวว่า อย่างที่ตนเคยชี้แจง การพิจารณาของคณะกรรมการครั้งที่ 2 กรรมการก็เข้าไม่ครบไม่มีความพร้อม แต่เชื่อว่าการแถลงก่อนล่วงหน้ามันสำคัญกว่าสิ่งที่ตนพูดไปแล้ว
เมื่อถามต่อว่า ความสัมพันธ์กับผู้เสียหายเป็นอย่างไร วุฒิพงศ์ กล่าวว่า น้องเขามาช่วยงาน เป็นผู้ช่วยที่มาช่วยงานในช่วงเวลาหนึ่งประมาณ 5 เดือน โดยช่วงที่มีปัญหาอยู่ช่วงเดือนท้ายๆ ยืนยันไม่มีสัมพันธ์เกินเลย หากพูดแบบผู้ชายแมนๆ ไม่เคยมีเพศสัมพันธ์กัน ซึ่งช่วงนั้นตนยังเป็นบุคคลธรรมดาไม่ร่ำรวย เปิดบัญชีทรัพย์สินมีเงินแค่ 5 แสนบาท ไม่ได้เป็นคนที่มีความคิดใช้กำลังหรืออำนาจเป็นใหญ่อย่างที่ได้ยินในสังคมปัจจุบันนี้
เมื่อถามว่ากระบวนการต่อไปนี้จะทำอย่างไร เพราะมีการพาดพิงถึงกระบวนการนอกพรรคด้วย วุฒิพงษ์กล่าวว่า เรื่องกระบวนการภายนอกพรรค ตนต้องขอดูผลกระทบที่เกิดขึ้น เพราะมีหลายเรื่องมากกว่าที่คิด ทั้งการขับออกจากพรรค การเสื่อมเสียชื่อเสียง การเปิดเผยข้อมูลส่วนตัว และมีการบิดเบือนข้อมูลส่วนตัวลงไปใน พ.ร.บ. คอมพิวเตอร์ มีการโฆษณาชวนเชื่อแบบนั้นไปแล้ว
เมื่อถามว่า ขณะนี้มีการติดต่อไปยังบางพรรคการเมืองหรือยัง วุฒิพงษ์กล่าวว่า ยังไม่มี ตนยังไม่ได้คุยแต่คิดว่าประเด็นที่ตนเคลียร์และตอบภายหลังจากนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรก เพราะคนอื่นก็ไม่ได้ฟัง หรือแม้แต่เพื่อน สส. เอง ตนก็ไม่เคยเล่า เพราะเป็นกระบวนการภายใน แต่หลังจากวันนี้ผ่านไปเป็นเรื่องของอนาคต ตนไม่มีคอนเนคชั่นการเมือง มีเพื่อนต่างพรรคบ้างในกรรมาธิการแต่ไม่เคยคุยเรื่องนั้น คุยกันแต่เรื่องงาน
เมื่อถามต่อว่าหากมีการตั้งคณะกรรมการจริยธรรมสภาแล้วมีการเสนอเรื่องนี้ให้พิจารณาพร้อมที่จะชี้แจงหรือไม่ วุฒิพงศ์ กล่าวว่ามันมีกระบวนการเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว ผู้ร้องได้ร้องเรียนไปทุกกระบวนการก่อนหน้า และสุดท้ายได้ส่งมาที่พรรคก้าวไกล ซึ่งพรรคก้าวไกลก็เซนซิทีฟในเรื่องนี้
เมื่อถามว่า รู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม ถ้าเทียบกับกรณีของ ไชยามพวาน มั่นเพียรจิต สส.กทม.หรือไม่ วุฒิพงษ์ กล่าวว่า ตนขอไม่เปรียบเทียบ เพราะเป็นเรื่องของเสียงโหวตภายใน แต่หากจะเปรียบเทียบตนอยากให้โฟกัสที่เสียงโหวต เช่น กรณีคุกคามทางเพศโทษของเรามันสูงถึงขนาดมีมติขับออกหรือไม่
เมื่อถามว่า ที่บอกว่าชาวบ้านให้กำลังใจเยอะ และเรื่องดังกล่าวมีผลต่อครอบครัวอย่างไรหรือไม่ นายวุฒิพงษ์ กล่าวว่า ขณะนี้ตนมีสถานภาพเป็นโสด แต่คนที่คบอยู่ก็เป็นเพื่อนกัน เขาดูข้อความในโทรศัพท์และ มีการพูดคุยกันตลอดเพราะน้องเขาก็มีความสนิทสนม แต่เรื่องส่วนตัวของตนไม่ได้ปิดบังใคร ผู้ช่วยทุกคนรู้หมด ทีมงานทุกคนก็รู้และเข้าใจ มีการประชุมกันตลอด
เมื่อถามว่า ขณะนี้สังคมพยายามกดดัน โดยเทียบกับกรณี สส. เมาแล้วขับที่ลาออกทันที วุฒิพงษ์ มีความคิดที่จะลาออกหรือไม่ เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ วุฒิพงษ์กล่าวว่า ตนคิดว่าการเข้ามาทำหน้าที่ ส่วนสำคัญคือการแก้ปัญหาในพื้นที่ที่ค้างคาอยู่ ยังมีหลายประเด็นที่ยังเอื้อกันอยู่ หากเราก้าวถอยอีกหลายคนจะยิ้มรอ ในจังหวัดปราจีนบุรี และรอบๆไม่มีพรรคก้าวไกล มีตนเป็นจุดส้มเล็กๆจุดเดียวในพื้นที่ มันมีเรื่องการเมืองหลายอย่างอยู่ หากอธิบายไปอาจจะซับซ้อน จึงขอพูดแค่นี้จะได้ไม่พาดพิงเรื่องอื่น
ผู้สื่อข่าวถามว่า เท่าที่ฟังมาเหมือนกับยืนยันว่าเราไม่ได้ทำผิดต่อข้อกล่าวหาที่เกิดขึ้น วุฒิพงษ์ กล่าวว่าตนยอมรับว่ามีการพูดคุย ก็เป็นความผิดในบางส่วน แต่เรื่องของการล่วงละเมิดทางเพศที่เกิดขึ้น หากเราเป็นผู้ถูกกระทำเราต้องเดินถอยหลังออกมาจากตรงนั้น ตนเปิดโอกาสแม้กระทั่งให้ไปทำงานอื่น ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการลงพื้นที่ร่วม ไม่มีการเดินทางไปสองคน หลังจากนั้นก็ไม่ทำงานร่วมกัน ตรงนั้นไม่ต้องขอกลับมาทำงานร่วมกันก็ได้ หากเป็นเรื่องล่วงละเมิดทางเพศจริง เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อกลางปีที่แล้ว แต่มาร้องเมื่อตนมีตำแหน่งและคนที่พามาร้องก็อยู่ในพรรค ตนอยากให้ไปลองดูเพราะพูดได้สุดแล้วจริงๆ
เมื่อถามว่า เป็นทีมงานในจังหวัดของพรรคที่มีปัญหาไม่อยากให้ วุฒิพงศ์เป็น สส.หรือไม่ วุฒิพงษ์กล่าวว่า ตอนเลือกตั้งไปดูที่ “เพจก้าวไกลปราจีนบุรี” ในช่วงเวลาเลือกตั้ง ไม่เคยมีรูปตนลงเลย แม้วันที่ชนะเลือกตั้ง ก็ไม่มีการแสดงความยินดี เดินทำงานด้วยกันมา 2 ปี แต่ก่อนเลือกตั้งกลับหายไป ตนมาด้วยความยากลำบาก
เมื่อถามว่ามองว่าการเอาข้อความแชทลักษณะนี้ออกมา เพื่อต้องการให้เอาผิดให้ออกจาก สส. หรือไม่ วุฒิพงษ์ กล่าวว่า มีการไปสัมภาษณ์ชาวบ้านในพื้นที่ของเพจหนึ่งที่มีข้อขัดแย้ง แต่ก็ได้ลบทิ้งไปแล้ว แต่ข้อมูลยังมีอยู่ อย่างไรก็ตามหากผู้เสียหายจะร้องคดีอาญาต่อ ตนยินดีเลยจะได้พิสูจน์และดีใจมากที่ทำแบบนั้น สำหรับตนจะดำเนินคดีอาญาฐานหมิ่นประมาท ซึ่งตนรู้จักครอบครัวเขา
โดยครั้งแรกที่พูดยากเพราะเกรงจะเกิดผลกระทบอะไรกับเขาบ้าง แต่บุคคลที่ดึงเขาออกมาเป็นเหยื่อดันนำเขามาอยู่ข้างหน้า ตนอาจจะแค่เรียกร้องในประเด็นที่ถูกกล่าวหาให้พ้นจากพรรค คือ เรื่องล่วงละเมิดทางเพศเป็นหลัก ไม่ได้มีเจตนาที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหาย ตนต้องการออกมามีที่ยืนในฐานะ สส. อย่างสง่างาม
วุฒิพงษ์ กล่าวว่า ตนอยากให้พิจารณารายละเอียดประโยคในแชทให้ดีๆ หลายอันมีการลบข้อความ รูปภาพ หรือคลิป หากเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตนหวังว่าข้อมูลทั้งหมดมันจะมา เพราะที่ตนมีปัญหาอยู่ขณะนี้คือ มือถือตนเตรียมพร้อมก่อนเลือกตั้ง และตนไม่ได้แบกอัพข้อมูล เป็นเรื่องเดียวที่ตอบไม่ได้ แต่อย่างเรื่องของรูปภาพ คลิปต่างๆหากผู้เสียหายที่อ้างว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศส่งมามันเยอะมาก ขนาดเราเป็นผู้ชายเองเรายังต้องยุติการร่วมงาน หากทำต่อก็ทำได้ใช่หรือไม่ แต่เราถอย ซึ่งหลักฐานทั้งหมดตนยังเก็บไว้อยู่
เมื่อถามว่า การทวงคืนความบริสุทธิ์ให้กับตนจะถือเป็นบรรทัดฐานต่อไป ในเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมืองได้หรือไม่ วุฒิพงษ์ กล่าวว่า ตนไม่อยากสร้างบรรทัดฐานของการเมือง หากเราตระหนักในเรื่องล่วงละเมิดทางเพศก็อยากให้ย้อนมองว่าเพศผู้ถืออำนาจมากกว่า หรือหัวหน้างานที่บางครั้งไม่ได้อยู่ในจุดนั้น หรือคนที่มีอายุเยอะๆไม่เข้าใจเรื่องนี้จริงๆ เมื่อไหร่ถูกกรณีเมื่อไหร่เหมือนตนเขาจะได้เข้าใจว่าเราเองสามารถถูกแบล็กเมลจากเรื่องนี้ได้ หรือถูกร้องเรียนเรื่องเหล่านี้ได้ในสังคม
“แม้แต่ สส.เองคุณจะครองตัวให้ดีอย่างไร หากมีข้อความเหล่านี้หลุดออกมา อย่างผมมีรูปนักข่าวและแก้ไขชื่อ มีมือถืออีกเครื่องหนึ่งผมส่งข้อความสลับกันมันก็สามารถทำได้ แต่ความเสียหายที่มันเกิดขึ้นไปแล้มันวคือประเด็น” วุฒิพงษ์ กล่าว