นางสาวกรรณิการ์ กิจติเวชกุล กรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) สัดส่วนภาคประชาชน กล่าวว่า แผนปฏิรูประบบสาธารณสุข ที่เพิ่งประกาศในราชกิจจานุเบกษา เป็นแผนปฏิรูปของพวกที่มีใจเสนานิยม ที่ปิดประตูคุยกันเองโดยปราศจากตัวแทนภาคประชาชน มีหลักคิดที่เห็นประชาชนเป็นแค่เพียงผู้รอรับบริการจากผู้ให้บริการเท่านั้น แต่ไม่ยอมให้มีส่วนร่วมในการพัฒนา ซึ่งเป็นวิธีการที่ล้าหลังของเครือข่ายราชการที่ยังอาจหาญมากำหนดแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นการปฏิรูปโดยพวกพ้อง เพื่อพวกพ้องเท่านั้น
ที่สำคัญคือมีการเขียนบางข้อความที่สามารถตั้งข้อสังเกตได้ว่า จะทำให้ระบบหลักประกันสุขภาพไม่ถ้วนหน้า กลายเป็นระบบอนาถาของคนจน ทั้งยังบังคับร่วมจ่าย ณ จุดบริการ เช่น การให้ออกกฎหมายเป็นกรอบร่วมกันระหว่างกองทุนสุขภาพ กำหนดให้มีชุดสิทธิประโยชน์หลัก ชุดสิทธิประโยชน์เสริมซึ่งแตกต่างกันระหว่างกองทุน มีชุดสิทธิประโยชน์ทางเลือกเพื่อร่วมจ่าย
รวมถึงกำหนดให้มีระบบร่วมรับผิดชอบจ่ายเมื่อป่วย สำหรับกรณีชุดสิทธิประโยชน์หลัก ต้องกำหนดเพดานร่วมจ่ายต่อปี (Annual ceiling) เพื่อลดภาระกรณีผู้ที่เป็นโรคเรื้อรัง นั่นหมายความว่า สามารถกำหนดให้มีระบบร่วมจ่ายได้ แม้เป็นชุดสิทธิประโยชน์หลัก เพียงแต่บอกให้มีเพดาน
นอกจากนี้ยังมีตัวอย่างรูปธรรมความล้มเหลวของแผนปฏิรูปประเทศด้านสาธารณสุข เช่น
1.การกำหนดให้มีคณะกรรมนโยบายสุขภาพแห่งชาติ (National Health Policy Board : NHPB) หรือเรียกง่ายๆ ว่า ซูเปอร์บอร์ด ซึ่งมีองค์ประกอบของคณะกรรมการ 80-20 แต่ไม่ระบุองค์ประกอบ แล้วจะทำให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมได้อย่างไร
ดังนั้น จึงคาดว่าคงเต็มไปด้วยตัวแทนจากภาคราชการ และกลุ่มผู้ใกล้ชิดที่มีหลักคิดแบบเสนานิยม และนิยมการสงเคราะห์คนยากจนอนาถามากกว่าการพัฒนาประเทศให้เป็นรัฐสวัสดิการเพื่อประชาชน สะท้อนว่าตั้งใจทำระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่เป็นสวัสดิการของประชาชนให้เปลี่ยนเป็นระบบอนาถา เหมือนคณะกรรมการชุดอื่นๆ ที่ผ่านมา เช่น คณะกรรมการด้านการแก้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ดังนั้น จึงมีความสุ่มเสี่ยงอย่างสูงต่อการตัดสินใจที่ขาดการคำนึงและการรับฟังที่เปิดกว้างจริงใจ รอบคอบจากทุกภาคส่วน
2.การปรับโครงสร้างกระทรวงสาธารณสุขขาดความชัดเจนในการปฏิรูประบบราชการให้เหมาะสม มีประสิทธิภาพ ลดความซ้ำซ้อนบทบาทของกระทรวงสาธารณสุขที่เป็นทั้งผู้กำกับติดตามนโยบาย และเป็นผู้จัดบริการ (เจ้าของ รพ.) ไปด้วย ทำให้การกำกับติดตามไม่จริงจังอย่างที่ควรจะเป็น เกิดพฤติกรรมที่เกรงใจเพื่อนผองน้องพี่มากกว่าประชาชน ส่วนเรื่องเขตสุขภาพที่ว่าจะเป็นการกระจายอำนาจนั้น ก็เป็นเพียงมายาคติโฆษณาชวนเชื่อต่อประชาชน เพราะเขตสุขภาพนี้เป็นเพียงการถ่ายโอนภารกิจจากส่วนกลางสู่เขต โดยที่ปลัดกระทรวงสาธารณสุขยังสามารถสั่งการ และให้คุณให้โทษผู้แก่ตรวจราชการกระทรวงได้ดั้งเดิม
3.การปฏิรูปผู้จัดซื้อบริการ (purchasers) ที่ขาดการกำหนดโครงสร้างที่สมดุลเป็นธรรม เสี่ยงต่อการกำหนดทิศทางนโยบายที่มุ่งเน้นความเห็นแบบเสนานิยม และการสงเคราะห์คนยากจนอนาถามากกว่ารัฐสวัสดิการเพื่อประชาชน มองการจัดบริการสุขภาพให้ประชาชนเป็นภาระของประเทศ ไม่ใช่การลงทุนเพื่อประชาชน แต่กับพวกพ้องกลับมองว่าเป็นสวัสดิการ ร่วมไปถึงการร่วมจ่าย ณ จุดบริการ ที่เสี่ยงต่อการเข้าถึงไม่บริการ ที่เปรียบได้กับการตอกลิ่มทิ่มแทงเพิ่มช่องว่างความเหลื่อมล้ำให้มากยิ่งขึ้น
4.การปฏิรูประบบบริการปฐมภูมิขาดการมีส่วนร่วมของผู้จัดบริการที่หลากหลาย มีเพียงแค่กระทรวงสาธารณสุข ไม่มีองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) หน่วยราชการสังกัดอื่น เหมาะสมกับบริบทที่ต่างๆ ของแต่ละพื้นที่ และกลุ่มประชาชนทั้งจากภาครัฐนอกกระทรวงสาธารณสุข และเอกชน รวมไปถึงภาคประชาชนที่เป็นผู้รับผลงานที่แท้จริงจากบริการปฐมภูมิที่ดีมีคุณภาพถึงประชาชนได้จริง
5.การพัฒนาอัตรากำลังคนสุขภาพที่ขาดรายละเอียดในการกระจายบุคลากรที่เป็นธรรม ลดระบบอุปถัมภ์ และเชื่อมโยงกับการปฏิรูประบบราชการที่เป็นรูปธรรม มุ่งเน้นประสิทธิภาพของระบบที่แท้จริง
"หากให้ประเทศไทยเดินหน้าได้จริง ต้องหยุดคิดว่าประเทศไทยเป็นของพวกคุณเท่านั้น แต่เป็นของคนไทยทุกคนที่จะดำเนินการปฏิรูปประเทศไปด้วยกัน เพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลานสืบไป" นางสาวกรรณิการ์ กล่าว
อ่านข่าวเกี่ยวข้อง :