นายวิเชียร ชวลิต นายทะเบียนพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พร้อมนายสุรพร ดนัยตั้งตระกูล กรรมการบริหารพรรค แถลงข่าวกรณีมีกระแสข่าวว่า ตัวแทนสมาชิกพรรคพลังประชารัฐได้รณรงค์เชิญชวนประชาชนสมัครเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ พร้อมกับให้สิทธิในการรับบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
นายสุรพร กล่าวว่า การรณรงค์เพื่อรับสมัครสมาชิกพรรคที่ผ่านมาและที่กำลังดำเนินการอยู่ มีวัตถุประสงค์และวิธีการ ดังนี้ พรรคพลังประชารัฐจะรับสมัครสมาชิกโดยผู้สมัครมาด้วยตนเอง ณ สำนักงานใหญ่ของพรรค ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ และที่ทำการสาขาพรรค 4 ภาค คือ ภาคเหนือที่จังหวัดเชียงใหม่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่จังหวัดร้อยเอ็ด ภาคกลางที่จังหวัดสิงห์บุรี ภาคใต้ที่จังหวัดกระบี่
นายสุรพร กล่าวว่า ส่วนการรับสมัครสมาชิกผ่านสมาชิกตัวแทนของพรรคแต่ละจังหวัด ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว และไม่มีนโยบายรณรงค์หาสมาชิกเพิ่มในขณะนี้แต่อย่างใด ซึ่งกระบวนการรับสมัครสมาชิกผ่านตัวแทนของพรรคที่ผ่านมา พรรคเน้นความสมัครใจของประชาชน เฉพาะผู้ที่ศรัทธาในอุดมการณ์ของพรรค เสียค่าสมัครด้วยตนเองพร้อมแนบสำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประจำตัวประชาชน และรูปถ่าย ให้พรรคตรวจสอบความถูกต้องก่อน โดยถือข้อห้ามตามมาตรา 30 แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 อย่างเคร่งครัด และที่ผ่านมาพรรคเคยตักเตือนสมาชิกที่กระทำการฝ่าฝืนข้อบังคับ รวมทั้งตัดสิทธิ์ในการเป็นผู้แสดงเจตจำนงเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งไปแล้วส่วนหนึ่ง ดังนั้น หากพรรคตรวจสอบพบว่าสมาชิกพรรคผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนหลักการ พรรคจะลงโทษอย่างเฉียบขาดตามข้อบังคับ
นายวิเชียร กล่าวถึง กรณีการเผยแพร่คลิปภาพอ้างว่ามีการแจกบัตรคนจน พร้อมกับบังคับให้สมัครเข้าเป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นในพื้นที่ จ.ยโสธร เบื้องต้นพรรคได้ดูภาพและเสียงคลิปแล้ว ปรากฏเพียงเสียงผู้บันทึกภาพ แต่ไม่มีภาพตามที่มีเสียงผู้บันทึกแต่อย่างใด ทั้งการจ่ายเงินและสมาชิกพรรคที่ถูกกล่าวหา ทั้งนี้ พรรคจะตรวจสอบเรื่องดังกล่าว เพื่อให้เกิดความชัดเจน ถูกต้อง และเป็นธรรมกับสมาชิกพรรคที่ถูกกล่าวหา ถ้าผิดก็ดำเนินการตัดสิทธิ์เป็นผู้สมัครของพรรค
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพิกิฏ ศรีชนะ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ยโสธร ที่ถูกพาดพิงในคลิปดังกล่าว ได้ลงบันทึกประจำวันดำเนินคดีกับผู้เผยแพร่คลิปในความผิด ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่ ส.ภ.เลิงนกทา จ.ยโสธร เพื่อเป็นหลักฐานแล้ว
กกต. เร่งตรวจสอบใช้เวลา 30-60 วัน
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เปิดเผยว่า ได้มอบหมายให้ด้านสืบสวนสอบสวนแจ้งไปยังหน่วยข่าวทางจังหวัดเพื่อตรวจสอบ โดยเฉลี่ยจะใช้เวลา 30-60 วันสรุปข้อเท็จจริงจะทราบว่าเป็นความผิดตามข้อกฎหมายใด โดยช่วงเช้าที่ผ่านมาทางสำนักงานได้รายงานข้อเท็จจริงเบื้องต้นต่อที่ประชุม กกต.รวมถึงกรณีการจัดโต๊ะจีนระดมทุนของพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งที่ประชุมได้ซักถามขั้นตอนการทำงาน และให้แนวปฏิบัติว่ากรณีที่จะจัดงานหรือการกระทำที่เสี่ยงต่อการทำผิดกฎหมาย
“หากสำนักงานทราบล่วงหน้าควรเข้าไปติดตามตั้งแต่ต้น ไม่ใช่พอเป็นข่าวจึงเข้าไปแก้ไขจนถูกหยิบไปเป็นประเด็นการเมือง และหากกรณีที่สำนักงานเห็นว่าเป็นการกระทำผิดกฎหมายแล้ว ต้องตรวจสอบพยานหลักฐาน ถ้าพบว่ามีมูลต้องเสนอให้กกต.ตั้งคณะกรรมการไต่สวน เริ่มจากการนำเสนอข่าวของสื่อ โดยครั้งที่แล้วได้เชิญสื่อมาให้ข้อมูล เพื่อให้สามารถสืบสวนต่อไปได้ อย่างเรื่องการจัดโต๊ะจีนระดมทุนที่มีการนำเสนอรูปผังที่นั่งในงาน เราก็ต้องเชิญสื่อที่นำเสนอข้อมูลดังกล่าวมาให้ข้อมูลว่าผังดังกล่าวได้มาจากไหน ได้มาจากใคร” เลขาธิการกกต. กล่าว
เมื่อถามว่า หากพบว่ามีข้าราชการบริจาค แล้วต่อมาพรรคพลังประชารัฐ คืนเงิน ถือเป็นความผิดหรือไม่ พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวว่า ถ้าเข้าข้อกฎหมายก็ต้องดำเนินการ การคืนเงินผิดหรือไม่ต้องไปดู เพราะเรื่องนี้เข้าข่ายทางอาญา ถ้าพบว่ามีมูลความผิดทางอาญาอาจจะส่งพนักงานสอบสวนหรือส่งอัยการ
ส่วนกรณีนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ แกนนำพรรคไทยรักษาชาติร้องขอให้ตรวจสอบนายอุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐที่สมัครเป็นสมาชิกหลังจากที่ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ กล่าวว่า ยังไม่เห็น แต่เรื่องดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริง คงตรวจสอบไม่ยาก ซึ่งกฎหมายระบุไว้หากมีชื่อเป็นผู้ร่วมก่อตั้งแล้ว ความเป็นสมาชิกจะนับย้อนไปถึงวันที่มายื่นขอยื่นจัดตั้งพรรคต่อนายทะเบียนพรรคการเมือง