นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เตือนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้รับฟังข้อมูลของธนาคารโลกและธนาคารพัฒนาเอเซีย (เอดีบี) ที่ระบุว่าเศรษฐกิจไทยอาจจะขยายตัวได้ประมาณร้อยละ 4 ซึ่งนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พยายามจะบอกว่า 'ดีสุดๆ' นั้น ความเป็นจริงคือการเจริญเติบโตที่ร้อยละ 4 นี้ ต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยที่ธนาคารโลกและเอดีบีทำนายการเจริญเติบโตของโลก
ทั้งยังเป็นตัวเลขการเจริญเติบโตที่แย่ที่สุดในภูมิภาค และเป็นตัวเลขการเจริญเติบโตที่แย่ที่สุดในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาทั้งหมดในเอเซียตะวันออก
นายพิชัยระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในการประมาณการอัตราการเจริญเติบโต (จีดีพี) โดยไทยโตต่ำกว่าเวียดนาม ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 7.1 กัมพูชา ร้อยละ 7 ลาว ร้อยละ 6.8 และมาเลเซีย ร้อยละ 5.3 ที่ต้องเน้นเรื่องที่แย่ที่สุด คือทั้งธนาคารโลกและเอดีบี มองไม่เห็นโอกาสที่เศรษฐกิจของไทย ภายใต้การนำของรัฐบาลปัจจุบัน จะสามารถทำให้ดีขึ้นได้ นอกจากจะยิ่งตกต่ำลงไปเรื่อยๆ ล้าหลังประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนทุกประเทศ
นอกจากนี้ นายพิชัยยังระบุว่า ตนได้พูดอยู่เสมอ แต่รัฐบาลหาว่าตนให้ข้อมูลที่บิดเบือน พร้อมถามกลับว่าธนาคารโลกและเอดีบีให้ข้อมูลที่บิดเบือนหรือไม่ และเปรียบเทียบเศรษฐกิจไทยกับ 'วิกฤติกบต้ม' ที่เศรษฐกิจไทยจะเสื่อมลงไปเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นแบบนี้มาตลอดหลายปี ตั้งแต่มีการรัฐประหาร
จึงต้องการเรียกร้องให้ พล.อ. ประยุทธ์ฟังความจริงจากองค์กรสากลระหว่างประเทศ และอย่าเชื่อนายสมคิดทั้งหมด และอยากให้นายสมคิดได้ฟังและอยากให้ชี้แจงเรื่องดังกล่าวด้วย อย่าให้ข้อมูลเกินจริง ซึ่งอาจจะทำให้ประชาชนและสื่อมวลชนสับสนได้ และไม่อยากให้นักการเมืองชื่นชมรัฐบาล และ คสช. เพียงเพราะรัฐบาลและ คสช. ช่วยพัฒนาซ่อมแซมถนนในพื้นที่ให้เท่านั้น ในขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจประเทศยังย่ำแย่ และหากเลื่อนเลือกตั้งออกไปอีกเรื่อยๆ จะยิ่งไม่สามารถแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจได้
อภิสิทธิ์ จวก คสช. ถลุงงบกระตุ้นเศรษฐกิจไม่ถึง ปชช.
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล คสช. ว่า อยากให้ประเมินความคุ้มค่าการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ผ่านมาทุกอย่าง เพราะตลอด 4 ปีที่ผ่านมา หลายโครงการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐบาลวางไว้ ไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่ตั้งใจ จำกัดอยู่กับคนบางกลุ่มมากกว่าจะทำให้คนทั่วไปมีรายได้ที่ดีขึ้น
โดยเมื่อเทียบงบประมาณที่ลงไปกับความคุ้มค่าที่ได้รับ มีผลที่ได้น้อยเมื่อเทียบกับเงินที่ลงไป จึงอยากให้ปรับวิธีคิดว่า ทำอย่างไรให้ประชาชนมีรายได้ดีขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งจะยั่งยืนและเป็นผลดีต่อภาวะการคลังด้วย
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่ารัฐบาลคงไม่ตั้งใจให้เกิดปัญหา แต่มองสภาวะเศรษฐกิจไม่ตรงกับความจริงที่เปลี่ยนไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: