สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นรายงานว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ลงนามรับรองการตั้งกำแพงภาษีร้อยละ 25 สำหรับสินค้าจากจีนมูลค่ากว่า 50,000 ล้านดอลลาร์แล้ว หลังจากการประชุมร่วมกับนายสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายวิลเบอร์ รอส รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และนายโรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ
ท่าทีดังกล่าวเป็นการยกระดับความตึงเครียดทางการค้าระหว่างประเทศมหาอำนาจทั้ง 2 ประเทศ หลังจากที่ทรัมป์ข่มขู่ว่าจะตั้งกำแพงภาษีสินค้าจีนมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดยระบุว่าเป็นการลงโทษที่จีนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จีนประกาศว่าจะตั้งกำแพงภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ มูลค่า 50,000 ล้านดอลลาร์ เช่น รถยนต์ เครื่องบิน และเมล็ดถั่วเหลือง เพื่อเป็นการตอบโต้สหรัฐฯ ทำให้นายทรัมป์ข่มขู่ต่อว่าจะเพิ่มการเก็บภาษีสินค้าจีนมูลค่า 100,000 ล้านดอลลาร์
จากนั้นช่วงกลางเดือนพฤษภาคม ทั้งจีนและสหรัฐฯ ก็ประกาศว่าจะไม่ทำสงครามการค้ากัน โดยจีนจะซื้อสินค้าเกษตรและพลังงานของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น เพื่อลดช่องว่างการได้ดุลการค้า แต่ไม่นาน ทำเนียบขาวก็ประกาศจะเดินหน้าเก็บภาษีสินค้าจากจีน และเมื่อวานนี้ (14 มิ.ย.) โฆษกกระทรวงต่างประเทศของจีนแถลงข่าวย้ำว่า จีนจะไม่ทำตามสัญญาที่จะซื้อสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่ม หากสหรัฐฯ ยืนยันที่จะตั้งกำแพงภาษี
การเก็บภาษีสินค้าจากจีนนี้ก็มีขึ้นเพียงไม่นานหลังจากที่นายทรัมป์เพิ่งตัดสินใจทำสงครามการค้ากับประเทศกลุ่มพันธมิตรอย่างแคนาดา เม็กซิโก และสหภาพยุโรป ด้วยการตั้งกำแพงภาษีเหล็กและอลูมิเนียม โดยอ้างว่าเป็นเหตุผลด้านความมั่นคงของประเทศ ทำให้การประชุมกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำของโลก 7 ประเทศ หรือ จี7 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วตึงเครียดอย่างมาก
หลังการประชุม นายทรัมป์ได้ทวีตข้อความต่อว่านายจัสติน ทรูโด นายกรัฐมนตรีแคนาดาว่า “ไม่ซื่อสัตย์และอ่อนแอมาก” พร้อมสั่งห้ามไม่ให้ผู้แทนของสหรัฐฯ ลงนามในแถลงการณ์ร่วมจี 7 ซึ่งสหภาพยุโรปและแคนาดาเปิดเผยว่าจะเริ่มเก็บภาษีสินค้าสหรัฐฯ เป็นการตอบโต้ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ส่วนเม็กซิโกได้ตอบโตด้วยการขึ้นภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ ไปแล้ว
ที่มา: CNN
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: