ไม่พบผลการค้นหา
หลังจากเหตุยิงถล่มขีปนาวุธกว่า 83 หัวใส่กรุงเคียฟของยูเครน เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมาตามเวลาท้องถิ่น ล่าสุด วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย ได้ออกมายอมรับว่า การถล่มยิ่งขีปนาวุธในครั้งนี้ เป็นการกระทำของรัสเซียเอง เพื่อตอบโต้ “การก่อการร้าย” ของยูเครน จากเหตุระเบิดสะพานไครเมียเมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (8 ต.ค.)

ปูตินระบุว่า ขีปนาวุธพิสัยไกลของรัสเซีย ถูกเล็งเป้าหมายไปยังฐานพลังงาน กาiทหาร และการสื่อสารของยูเครน โดยปูตินขู่ว่า รัสเซียพร้อมจะตอบโต้ “อย่างรุนแรง” ต่อการกระทำใน “การก่อการร้าย” ใดๆ ที่เพิ่มมากขึ้นเหนือดินแดนของรัสเซีย

การโจมตีดังกล่าว เกิดขึ้นหลังจากที่ปูตินออกมาระบุว่า เหตุระเบิดสะพานไครเมียมียูเครนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 3 ราย ณ สะพานไครเมีย ที่ใช้เป็นทางเชื่อมระหว่างแหลมไครเมีย ซึ่งถูกรัสเซียผนวกไปเป็นของตนเองตั้งแต่ปี 2557 ทั้งนี้ เหตุการณ์ยิงถล่มในเคียฟเมื่อเช้าที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 8 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกหลายสิบราย

ทางการของยูเครน และชาติพันธมิตรตะวันตก ออกมาประณามการกระทำดังกล่าวของรัสเซีย พร้อมระบุว่า การโจมตีในครั้งนี้ เป็นการโจมตีแบบสุ่มไม่เลือกหน้า และเป็นการกระทำอัน “ป่าเถื่อน” ในขณะที่ชาติพันธมิตรตะวันตกยืนยันว่า ตนจะยังคงเดินหน้าการให้การสนับสนุนยูเครนต่อไป นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมยูเครนระบุว่า ตนจะทำการแก้แค้นรัสเซียจากเหตุการโจมตีในครั้งนี้

จากรายงานของสำนักข่าว Reuters ระบุว่า การถล่มยิงขีปนางวุธของรัสเซียใส่กรุงเคียฟในครั้งนี้ มีขีปนาวุธหัวหนึ่งได้ตกใส่อาคาร ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของกงสุลเยอรมนีประจำกรุงเคียฟ อย่างไรก็ดี ยังไม่มีการรายงานที่ชัดเจนว่ามีผู้เสียชีวิตหรือได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าวหรือไม่

ในอีกทางหนึ่ง สหภาพยุโรปได้ออกมาประณามการยิงขีปนาวุธของรัสเซียในครั้งนี้ พร้อมระบุว่า การโจมตีของรัสเซีย “แบบไม่เลือกหน้า” ใส่พลเรือนในยูเครน เป็นการกระทำที่เข้าข่าย “การก่ออาชญกรรมสงคราม” พร้อมทั้งระบุว่า การโจมตีในครั้งนี้เป็น “ความป่าเถื่อนและขี้ขลาด” ในขณะที่ชาติสมาชิกสหภาพยุโรปบางประเทศ พยายามกดดันให้สหภาพยุโรปประกาศมาตรการการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติมอีก