วันที่ 7 ก.ย. 2565 ที่อาคารรัฐสภา นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมด้วยพรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกอบด้วย พรรคก้าวไกล พรรคเสรีรวมไทย พรรคประชาชาติ พรรคเพื่อชาติ พรรคพลังปวงชนไทย ได้มีมติร่วมกันว่าจะทำหนังสือส่งความเห็นและเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมประกอบคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการดำรงตำแหน่งของ สืบเนื่องจากมีเอกสารที่หลุดออกมาเผยแพร่ตามสื่อมวลชน ที่อ้างว่าเป็นความเห็นของ มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่ยังไม่สามารถยืนยันได้ว่าเป็นเอกสารจริงหรือเท็จ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญมีคำสั่งให้จัดทำเพื่อประกอบคำวินิจฉัย โดยมีใจความว่า มีชัย ยืนยันวาระการดำรงตำแหน่งนายกฯ ของ พล.อ.ประยุทธ์ ให้เริ่มนับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. 2560 คือวันเริ่มบังคับใช้รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน
ทั้งยังมีการอ้างบันทึกรายงานการประชุมของ กรธ. ครั้งที่ 501 เมื่อวันที่ 21 ก.ย. 2561 เพื่อจัดทำเจตนารมณ์รายมาตราของรัฐธรรมนูญ ที่มีความเห็นของ มีชัย อยู่ด้วย ซึ่งภายหลังอ้างว่าเป็นบันทึกที่มีความคลาดเคลื่อนไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถนำมาอ้างอิงได้
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้พรรคร่วมฝ่ายค้านมีความกังวลต่อความถูกต้องในการชี้แจงของ มีชัย และอาจเข้าข่ายการให้การที่เป็นเท็จต่อศาล หากเอกสารดังกล่าวเป็นของจริง พรรครวมฝ่ายค้านจึงจำเป็นต้องรวบรวมความเห็นเพื่อคัดค้านโต้แย้งวาระการดำรงตำแหน่ง ว่าจะนับหลังจาก 6 เม.ย. 2560 ไม่ได้ เนื่องจากมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. 2557 สืบเนื่องมา เราจึงต้องยืนยันตามหลักฐานเชิงประจักษ์ดังกล่าว
ในการนี้ พรรคร่วมฝ่ายค้าน ได้ตั้งคณะทำงานด้านกฏหมายเพื่อร่วมกันจัดทำความเห็นเพิ่มเติม นำโดย ชูศักดิ์ ศิรินิล รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย และที่ปรึกษาด้านกฎหมายของพรรคเพื่อไทย ซึ่งเป็นคณะทำงานที่ดำเนินการสืบเนื่องมาจากการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
สำหรับความไม่สมบูรณ์ของบันทึกการประชุมที่ มีชัย กล่าวอ้างนั้น พรรคร่วมฝ่ายค้านได้แนบเอกสารบันทึกการประชุม พร้อมรายละเอียด แม้จะเคยส่งไปในครั้งก่อนหน้าแล้ว แต่กลับทราบว่าไม่พบเอกสารนี้ในชั้นพิจารณา จึงต้องส่งกลับไปอีกครั้ง และเพื่อยืนยันว่าเป็นการจดบันทึกที่กระทำอย่างถูกต้อง ไม่ผิดพลาด มีการตรวจทานแล้วโดยไม่มีการแก้ไข หลักฐานนี้จึงสรุปได้ว่าการกล่าวอ้างของ มีชัย ว่าบันทึกรายงานการประชุมครั้งที่ 501 ยังไม่ได้รับรองนั้น จึงเป็นเท็จ เปรียบเหมือนการกลับคำให้การในชั้นศาล โดยทั่วไปถือว่าเป็นพยานบุคคลที่ไม่ให้ความสำคัญ ต้องตัดออกทันที
พรรคร่วมฝ่ายค้านจึงได้ร้องขอให้ประธานสภาผู้แทนราษฎร ส่งหนังสือไปยังศาลรัฐธรรมนูญโดยเร็วที่สุด เพราะจะมีการประชุมของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญในวันพรุ่งนี้ (8 ก.ย.) เพื่อพิจารณาเอกสารหลักฐานทั้งหมด ว่ามีข้อสงสัยหรือไม่ก่อนจะเริ่มนัดวินิจฉัย คาดว่าจะส่งถึงศาลรัฐธรรมนูญภายในวันพรุ่งนี้ก่อนการประชุม โดยมี นพ.สุกิจ อัตโถปกรณ์ ที่ปรึกษาประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นตัวแทนประธานสภาฯ รับหนังสือ
จากนั้น นพ.ชลน่าน ให้สัมภาษณ์ถึงว่า การปล่อยเอกสารที่อ้างว่าเป็นความเห็นของ มีชัย ฤชุพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เพื่อประกอบการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญนั้น ดูจากการอ้างเนื้อหาและเหตุผลประกอบในคำร้อง สามารถเทียบเคียงได้ว่าหากเป็นเอกสารปลอมก็คงเป็นเอกสารปลอมที่เหมือน มีชัย เขียนเองมาก เพราะเป็นการตอบที่ชัดแจ้งและตรงประเด็น หากจะเป็นเอกสารเท็จก็เท็จแบบสมบูรณ์แบบ ส่วนจะมีเจตนาอย่างไรไม่ทราบจริงๆ แต่คาดการณ์ได้ว่าเป็นเหมือนการโยนไปถามประชาชนว่าสังคมคิดอย่างไร
เมื่อถามต่อว่า กระแสสังคมต่อเอกสารดังกล่าวเป็นอย่างไร นพ.ชลน่าน ระบุว่าต้องติดตาม เพราะสื่อหลักและสื่อออนไลน์วิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้อย่างมาก ส่วนปฏิกิริยายังไม่เห็นชัด แต่ดูจากการสอบถามทางสื่อ 90% ของโพลจากสื่อบางช่องไม่เห็นด้วย ส่วนสถานการณ์หลังจากนี้ โดยตนไม่ก้าวล่วงต่อศาล แต่หากศาลใช้ความเห็นนายมีชัยมาใช้ จะถือว่าเป็นพยานเท็จ เชื่อว่าศาลไม่น่าจะรับความเห็นนี้
เมื่อถามว่า หากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาตามความเห็นของ มีชัย นพ.ชลน่าน ตอบในเบื้องต้นว่า ความเป็นพยานของ มีชัย ถือว่าเป็นพยานเท็จ ในส่วนตัวมองว่าศาลคงไม่เชื่อ ดังนั้น เอกสารของฝ่ายค้านในวันนี้ไปหักล้างได้แน่นอน แต่ถ้าจะออกมาเช่นนั้น ก็จะไปตอกย้ำข้อขัดแย้งของสังคม เพราะการอยู่ยาวของนายกรัฐมนตรีไม่มีผลงาน ทำความเดือดร้อน ใช้อำนาจอย่างล้นเกิน ก่อวิกฤติได้ ซึ่งพรรคร่วมฝ่ายค้านมีการประชุมอย่างเป็นทางการทุกวันจันทร์ เพื่อหารือถึงแต่ละฉากทัศน์ที่เป็นไปได้
"ผมยังเชื่อมั่นว่าความเห็นของ มีชัย ปี 2561 มีน้ำหนักมากกว่า เพราะขณะนั้นดูเหมือนว่า สติสัมปชัญญะ ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ขณะนี้ท่านอาจจะมีสติสัมปชัญญะไม่ครบถ้วน เพราะลืมแม้กระทั่งมีการรับรองบันทึกการประชุม ท่านลืมไปเลย นั่นแสดงว่าสติสัมปชัญญะท่านไม่ครบถ้วนแล้ว ศาลท่านใช้ดุลพินิจตรงนี้ได้ว่า ไม่น่าฟัง ไม่น่าเชื่อถือ" นพ.ชลน่าน กล่าว