ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร (กทม.) 2 ดินแดง เมื่อเวลา 22.10 น. วันที่ 22 พ.ค. 2565 ถึงผลเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งนับคะแนนไป 95% ผลปรากฏว่า ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 8 ได้คะแนนเสียงจากคนกรุงเทพฯ อย่างแลนด์สไลด์ท่วมท้น 1,312,550 คะแนน อันดับ 2 คือ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 4 พรรคประชาธิปัตย์ 240,884 คะแนน อันดับ 3 วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 1 ได้ 240,782 คะแนน อันดับ 4 สกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. หมายเลข 3 ได้ 218,278 คะแนน อันดับ 5 คือ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 6 ได้ 204,089 คะแนน
โดย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร อดีตผู้ว่าฯ กทม. เคยได้คะแนนเสียงชนะผู้ว่าฯ กทม. เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 2556 จำนวน 1,256,349 คะแนน ซึ่งผลการเลือกตั้งครั้งนี้ ทำให้ ชัชชาติ ได้คะแนนเสียงชนะผู้ว่าฯ กทม.แบบถล่มทลายและทุบสถิติใหม่ของการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.
วันที่ 22 พ.ค.2565 ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ขึ้นปราศรัยรับทราบผลคะแนนเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการ โดยเผยว่า มีผู้สมัครได้โทรมาแสดงความยินดี คือ สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ซึ่งตนก็รับปากว่าจะทำงานร่วมกับ ส.ก.พรรคประชาธิปัตย์ รวมทัง วิโรจน์ ลักขณาอดิสร ที่ก็ยินดีทำงานร่วมกันเพื่อประโยชน์ของชาว กทม. ตนมองว่าเป็นมิติที่ดี เราต้องก้าวข้ามความแตกแยก สุดท้ายต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน ต้องเดินไปด้วยกัน เพื่อจะทำให้ กทม.เดินหน้าไปได้
อย่างไรก็ตาม ตนยังไม่ขอพูดเรื่องผลคะแนน เพราะยังพูดไม่ได้ เนื่องจาก กกต. ยังไม่ยืนยันผลคะแนนอย่างเป็นทางการ แต่วันนี้เป็นวันที่มีความหมายส่วนตัวกับตนมาก เพราะเมื่อ 8 ปีก่อน เกิดเหตุการณ์รัฐประหาร ตนถูกคลุมหัว มัดมือ
"ตอนนี้แหละ นาทีนี้เลย เพิ่งถูกนำตัวไป ตอนกลับ ก็ถูกคลุมหัวกลับ หลังจาก 7 วันผ่านไป เลยไม่รู้ว่าถูกพาไปไหน แต่ผมก็ไม่ได้รู้สึกโกรธ หรือเกลียด ผมให้อภัยกับสิ่งที่เกิดขึ้น นั่นคือความทรงจำเตือนใจเราว่า เมื่อไหร่ที่ประชาชนทะเลาะ เกลียด กลัว ซึ่งกันและกัน สุดท้ายจะมีกลุ่มคนที่ได้ผลประโยชน์”
ชัชชาติ ย้ำว่า นี่คือบทเรียนสำคัญ ขออย่าสร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกัน ถ้าตนมีโอกาสได้เป็นผู้ว่าฯ กทม. ตนพร้อมเป็นผู้ว่าฯ ของทุกคน ไม่ว่าใครจะเลือกหรือไม่เลือก ก็ต้องรับใช้ทุกคนเหมือนกัน การทำหน้าที่ผู้ว่าฯ ต้องถอดแว่นวิศวกรออก ไม่เหมือนตอนเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม การเป็นผู้ว่าฯ ต้องใส่แว่นหลายสี เพื่อทำความเข้าใจปัญหาหลายเรื่อง ถ้าใส่แว่นวิศวกรอย่างเดียว จะเป็นผู้ว่าที่ดีไม่ได้
สำหรับการปฏิรูปข้าราชการกรุงเทพฯ นั้น ชัชชาติ ระบุว่า ข้าราชการ กทม. มีคนดีๆ เยอะ ต่อไปต้องห้ามซื้อขายตำแหน่ง ต้องชัดเจนว่า เราต้องการอะไรจากเขา อยากให้ใครทำอะไร ต้องทำเป็นตัวอย่าง ตนอยากให้ข้าราชการดูแลประชาชน เราเองก็ต้องลงไปดูแลประชาชน ไม่ใช่สั่งอย่างเดียว แต่ตัวเองไม่เคยทำเลย เราต้องเลือกคนเก่ง ไม่สำคัญว่าคนของใคร ดูผลงาน ประเมินเขา
“ข้าราชการที่ดีไม่ต้องกลัว แต่ข้าราชการที่ไม่ดี เตรียมตัวไว้ได้” ชัชชาติ กล่าว
ชัชชาติ ยังมองว่า กรุงเทพฯ เป็นมหานครใหญ่ที่เต็มไปด้วยความหวัง ความสวยงาม มีคุณค่ามากมาย ที่ผ่านมามีเหตุการณ์หลายเรื่อง ทำให้ไม่ได้รับการเจียระไนอย่างเต็มที่ ขณะเดียวกัน คนเรานั้นคิดไม่เหมือนกัน ตนอาสามาประสานงานกับทุกคน เราสามารถขัดแย้งกันได้ แต่อย่าไปโกรธเกลียดอะไร เดินไปด้วยกันได้ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนความคิดของใครได้ อย่าไปเสียเวลาทะเลาะกับเขา เพราะหากเราต้องการให้เขาคิดเหมือนเรา ถ้าเขาไม่เปลี่ยน ก็ไปหาคนอื่น คนเรามีความแตกต่าง ทุกอย่างให้ประชาชนตัดสินใจ
เมื่อถามว่าการเลือกตั้งครั้งนี้จะสร้างความเปลียนแปลงในการเมืองระดับประเทศหรือไม่ ชัชชาติ กล่าวว่า ที่เปลี่ยนไปเลยอย่างแรก คือป้ายหาเสียง ซึ่งจะเปลี่ยนไปตลอด ต่อไปนี้ใครทำป้ายใหญ่จะถูกมองว่าเกะกะ สะท้อนให้เห็นว่าเรื่องเล็กๆ ก็สามารถเปลี่ยนการเมืองไปได้
“ผมขออาสามาเป็นผู้นำแห่งความหวัง เดินร่วมกันไป คุยกันด้วยเหตุผล ทำกรุงเทพฯ ให้เป็นนครที่คนอยู่อย่างมีความสุข ให้ทุกคนเดินไปพร้อมๆ กัน วันนี้ก็ตื้นตันใจ เป็นเหมือนคำสั่งที่ประชาชนมอบหมายให้ตนเป็นตัวแทน”
ชัชชาติ ยังขอขอบคุณผู้สมัครทั้ง 31 คน ที่เป็นเพื่อนร่วมเดินทางกันมาเกือบ 2 เดือน เป็นการแข่งขันที่ยุติธรรม ตนได้สิ่งดีๆ หลายอย่าง เช่น เรื่องรัฐสวัสดิการเพิ่มเติม หรือการทำโครงการ เรื่องการหารายได้ของ กทม. นโยบายของผู้สมัครทุกคนที่มีข้อดี ก็ต้องน้อมรับ เอานโยบายทุกท่านมาทำงานร่วมกัน เช่นเดียวกับ ส.ก.ทุกท่านที่เดินไปด้วยกัน กรุงเทพบอบช้ำมาเยอะ เช่นเดียวกับประเทศไทย สุดท้ายเชื่อว่าเมืองไทยมีพลัง
ตอนนี้รอทาง กกต.ประกาศอย่างเป็นทางการ ขอขอบคุณเพื่อนชัชชาติและทีมงานทุกคน 2 ปีที่ผ่านมา ตนเน้นย้ำกับทางทีมงานว่า ต้องสนุก ปล่อยของให้เต็มที่ สร้างพลังที่จะเปลี่ยนกรุงเทพได้ เราจะสามารถสร้างสิ่งดีๆ ให้กรุงเทพอีกมากมายมหาศาล ทุกคนทำได้ มาร่วมทำให้กรุงเทพเป็นเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน ขอบคุณทุกคน
ทั้งนี้ ขอดูพรุ่งนี้ว่าจะได้กี่คะแนนอย่างเป็นทางการ สำหรับคำถามว่าจะสามารถประสานงานกับรัฐบาลได้หรือไม่ ชัชชาติ กล่าวว่า ตนเชื่อว่าตัวเองได้คะแนนเสียงมากกว่านายกรัฐมนตรีอีก ส่วนการประสานงานกลุ่มต่างๆ ถ้าเริ่มด้วยการคุยกัน ก็ไม่มีอะไรน่ากังวล สามารถประสานงานได้กับทุกพรรค แม้กระทั่งพรรคเพื่อไทยด้วย
“ผมว่า ผู้ว่าฯ กทม. ได้คะแนนเสียงมากกว่านายกฯ อีกนะ ไม่ได้ท้าทาย แต่เราเอาประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง ไม่ได้คุยด้วยอารมณ์ หรือ ทะเลาะกัน แต่เมื่อ ประชาชนเลือกเรามา ก็ต้องใช้เหตุผล และการคุยกันก็ต้องมีระบบระเบียบ ขั้นตอน แต่อย่างที่บอก ประชาชนเลือกมา เราประชาชนเป็นที่ตั้ง”
ชัชชาติ ยังย้ำว่า ขณะนี้ไม่ได้รู้สึกดีใจว่าได้ชัยชนะ พร้อมกล่าว "ตอนนี้ไม่ถือเป็นชัยชนะ แต่เป็นคำสั่งของประชาชน ที่ต้องปฏิบัติตาม”
นอกจากนี้ ชัชชาติ ยังกล่าวขอบคุณ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ที่ดูแลกรุงเทพฯ มากว่า 5 ปี 5 เดือน 5 วัน อะไรที่ดีๆ จะนำเป็นบทเรียนเพื่อต่อขยายได้ การทำคลองมีหลายจุดดีที่ดีจริง และเราจะมีคณะทำงานเพื่อร่วมกันดูแลประชาชน ต้องมีมาตรการที่จูงใจประชาชนให้ย้ายมากรุงเทพ เพื่อประเมินงบประมาณในการใช้พัฒนาเมืองให้ถูกต้อง
'วิโรจน์' ต่อสายตรงยินดี 'ชัชชาติ'
เมื่อเวลา 20.30 น. วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. พรรคก้าวไกล กล่าวภายหลังทราบผลคะแนนการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.และ ส.ก.อย่างไม่เป็นทางการ โดยได้โทรศัพท์พูดคุยกับ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้สมัครผู้ว่าฯกทม. อิสระ เพื่อแสดงความยินดี หลังผลคะแนนเบื้องต้นมาเป็นอันดับหนึ่ง พร้อมขอให้ ชัชชาติ นำนโยบายของพรรคก้าวไกลไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ ซึ่งมีเรื่องการเปิดสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าบีทีเอส รวมถึงข้อกฎหมายและระเบียบต่างๆที่ไม่เอื้อต่อคนกรุงเทพ ทั้งนี้ ขอยืนยัน หากพรรคก้าวไกลได้ที่นั่งส.ก. ก็จะร่วมกันสร้างกรุงเทพให้เป็นเมืองที่น่าอยู่ให้ได้
ทั้งนี้ วิโรจน์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ส่วนตัวอยากผลักดันเรื่องการยกระดับสภากรุงเทพฯให้มีความรับผิดชอบต่อประชาชนชาวกทม.ให้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะการเปิดเผยขั้นตอนการทำงานทุกอย่างของสภากรุงเทพฯต่อสาธารณะ เพื่อให้ประชาชนชาวกทม.ร่วมรับทราบและตรวจสอบโดยละเอียด
ด้าน ชัชชาติ กล่าวขอบคุณที่ วิโรจน์ โทรศัพท์มาแสดงความยินดี แต่ขอให้รอผลคะแนนจาก กกต. ที่มีความแน่นอน และเป็นทางการ ก่อนจะถูกเรียกว่าเป็น ผู้ว่าฯกทม.
อย่างไรก็ตาม หากรับทราบผลคะแนนแล้ว ก็ยินดีน้อมรับนโยบายของพรรคก้าวไกลไปปรับใช้ เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม และยินดีมากขึ้นหากได้ร่วมงานกัน
ในตอนท้าย ภายหลังการแถลงข่าวเสร็จสิ้น วิโรจน์ ได้เปิดเผยถึงเส้นทางการเมืองนับจากนี้ โดยระบุว่า จะเป็นหนึ่งในกลไกที่ขับเคลื่อนพรรคก้าวไกลต่อไป ซึ่งหลังจากนี้ ก็ต้องทำการหารือกับทางคณะกรรมการบริหารพรรคต่อไปว่าจะเป็นไปในลักษณะใด
ยินดีกับพี่ชัชชาติ เพราะเราเป็นพี่น้องกัน”
เมื่อเวลา 20.10 น. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ผู้สมัครผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ เบอร์ 4 แถลงข่าว ณ ที่ทำการ ตึก ESV Tower ขอบคุณทุกคะแนนเสียง พร้อมระบุว่าตนยังคงเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ในอนาคตเส้นทางการเมืองจะเป็นอย่างไร ขึ้นอยู่กับพรรคจะกำหนด
“ถึงวันนี้เห็นชัดเจนว่า พี่น้องประชาชนได้เลือกแล้ว… (สำหรับคะแนนเสียง) ต้องกราบขอบพระคุณจริงๆ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมออกมาสู่เวทีการเมือง อยากบอกว่าภูมิใจในทุกคะแนนจริงๆ อยากขอบคุณคุณพ่อ คุณแม่ พี่น้องประชาชน คะแนนของท่านมีค่ากับผม เป็นกำลังใจสำคัญให้ผมทำงานต่อๆ ไป”
สุชัชชวีร์บอกกับผู้สื่อข่าวว่า ตนได้โทรไปแสดงความยินดีกับชัชชาติ เพราะ “เราเป็นพี่น้องกัน”
“โทรไปบอกว่า พี่ชัชชาติ เอ้แสดงความยินดีกับพี่นะ สุดยอดจริงๆ มีอะไรให้เอ้ช่วย พร้อมเสมอครับ”
เมื่อนักข่าวถามว่ามีนโยบายอะไรของตัวเองที่อยากให้ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ นำไปสานต่อ สุชัชวีร์กล่าวว่าประเด็นเรื่องน้ำท่วมเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องแก้ไข
เมื่อถามว่าจะทำอะไรต่อไป สุชัชวีร์ตอบว่า วันนี้อยากกลับไปกอดคุณพ่อคุณแม่ และพรุ่งนี้อยากส่งลูกชายไปโรงเรียน ส่วนเรื่องอื่น “ค่อยว่ากัน”
ตั้งแต่เริ่มนับคะแนนเป็นต้นมา สุชัชวีร์และทีมต่างพากันลุ้นกับการเป็นที่ 2 ซึ่งขณะนี้คะแนนยังคงขับเคี่ยวกับ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล