ไม่พบผลการค้นหา
แรมซาน คาดีรอฟ ผู้นำของเชเชนระบุว่า ลูกชายของตนในวัย 14 15 และ 16 ปี จะเดินทางไปยังแนวหน้ารบของสมรภูมิสงครามยูเครนเร็วๆ นี้ เพื่อเข้าร่วมรบกับกองทัพรัสเซีย ทั้งนี้ คาดีรอฟเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย แต่ในช่วงเวลาหลังมานี้ เขามักออกมาวิจารณ์ภาวะผู้นำของกองทัพรัสเซีย ที่พ่ายแพ้ต่อยูเครนอย่างหนัก

บนโซเชียลมีเดีย คาดีรอฟโพสต์ข้อความระบุว่า ผู้เป็นพ่อควรจะสอนลูกชายของตนเอง ถึงวิธีการในการปกป้องครอบครัว ประชาชน และปิตุภูมิ อย่างไรก็ดี สิ่งที่คาดีรอฟระบุว่าลูกชายวัยไม่ถึง 18 ปีของตนกำลังจะเดินทางไปรบในยูเครนนั้น ขัดแย้งกันกับการที่รัสเซียเคยลงนามในสนธิสัญญาของสหประชาชาติ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าร่วมในการสู้รบโดยตรง

การใช้เด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี เข้าร่วมในการสู้รบนั้น ถือเป็นอาชญากรรมสงครามตามกฎหมายระหว่างประเทศของศาลอาญาระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตาม รัสเซียไม่ได้ให้ยอมรับเขตอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศเหนือตนเอง นอกจากนี้ คาดีรอฟกล่าวว่าการฝึกทหารของลูกชายตนเอง มีขึ้นมาตั้งแต่พวกเขาอายุยังน้อยกว่าในตอนนี้มาก และถึงเวลาแล้วที่ลูกๆ ของตนจะได้สัมผัสกับการต่อสู้ที่แท้จริง

นอกจากนี้ คาดีรอฟยังมุ่งเป้าตอบโต้ไปยังกลุ่มคนที่ “พูดลอยๆ” ซึ่งอ้างว่าคนในครอบครัวอันเป็นที่รักของผู้นำเชเชนอย่างคาดีรอฟ ไม่ได้เข้าร่วมปฏิบัติการทางทหารในยูเครน คาดีรอฟยังโพสต์ข้อความพร้อมกับวิดีโอที่เป็นภาพของลูกชายตน ซึ่งกำลังยิงอาวุธต่างๆ ที่สนามฝึกอย่างคล่องแคล่ว ทั้งนี้ กองกำลังของเชเชนในยูเครนถูกเยาะเย้ยว่า พวกตนเอาแต่ถ่ายรูปของตัวเอง เพื่ออัปโหลดลงบนโซเชียลมีเดียเฉยๆ มากกว่าการเข้าร่วมรบในแนวหน้าของสงครามจริงๆ

คาดีรอฟ ขึ้นปกครองสาธารณรัฐเชเชน ซึ่งตั้งอยู่ในทางตอนใต้ของสหพันธรัฐรัสเซีย มาตั้งแต่ปี 2550 หลังจากตนได้รับการแต่งตั้ง ให้เป็นผู้นำประจำภูมิภาคโดยปูติน เพื่อการปกครองเชเชนด้วยความมั่นคง หลังจากพื้นเชเชนมีกลุ่มติดอาวุธรบเพื่ออิสรภาพมาตลอดเวลานับทศวรรษ แต่กลับประสบกับความล้มเหลว ทั้งนี้ คาดีรอฟถูกวิจารณ์ว่าตนปกครองด้วยกำปั้นเหล็ก อีกทั้งการปล่อยให้เกิดปัญหาการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงที่ยังเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง

คาดีรอฟ ยังเป็นผู้สนับสนุนตัวยงของปูติน และกองกำลังของคาดีรอฟจากเชเชน ได้เข้าร่วมรบในสมรภูมิยูเครนตั้งแต่ช่วงต้นของสงคราม อย่างไรก็ดี ความพ่ายแพ้ของรัสเซียในสมรภูมิที่คาร์คีฟและโดเนตสก์ในช่วงที่ผ่านมาไม่นานนี้ ทำให้คาดีรอฟออกมาวิจารณ์ภาวะผู้นำของกองทัพรัสเซีย โดยเขากล่าวว่า ผู้นำกองทัพของรัสเซียรายหนึ่งเป็นพวก “สามัญชน” ก่อนที่คาดีรอฟจะคร่ำครวญถึงการขนส่งกำลัง เสบียง และยุทโธปกรณ์ ซึ่งกำลังประสบกับความขาดแคลนในสมรภูมิยูเครน

นอกจากนี้ คาดีรอฟยังเรียกร้องให้รัสเซียใช้มาตรการที่รุนแรงมากขึ้นกับยูเครน รวมถึงการใช้อาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธี ในขณะที่ทางการรัสเซียตอบกลับว่า การตัดสินใจเช่นนั้นไม่ควรทำด้วยอารมณ์ ทั้งนี้ คำวิจารณ์ของคาดีรอฟ เป็นการตอบสนองต่อการล่าถอยของกองกำลังรัสเซีย จากเมืองลีมานของยูเครนในภูมิภาคโดเนตสก์ ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้ทางยุทธศาสตร์ครั้งใหญ่ของรัสเซียในสงครามยูเครน

การเข้ายึดเมืองลีมานของยูเครนกลับคืนมาได้ มีความสำคัญในทางยุทธศาสตร์อย่างมาก เนื่องจากลีมานถูกใช้เป็นฐานที่ตั้งหลัก เพื่อการเข้าถึงพื้นที่ที่รัสเซียกำลังยึดครองไปจากยูเครนได้มากยิ่งขึ้น ลีมานยังถูกใช้เป็นศูนย์กลางด้านการขนส่งของรัสเซีย ส่งผลให้ความพ่ายแพ้ในลีมานเป็นสัญลักษณ์ของความพ่ายแพ้จากทางรัสเซียครั้งสำคัญ เนื่องจากความพ่ายแพ้ดังกล่าวเกิดขึ้นเพียงวันเดียว หลังจากพิธีลงนามครั้งยิ่งใหญ่เพื่อผนวกพื้นที่ 4 แห่งที่ถูกยึดครองของยูเครนโดยรัสเซีย ได้แก่ ลูฮานสก์ เคอร์ซอน ซาปอริซเซีย รวมถึงโดเนตสก์ซึ่งมีเมืองลีมานตั้งอยู่ในแคว้นแห่งนี้ หลังจากการประกาศทำประชามติที่ “หลอกลวง” ใน 4 แคว้นดังกล่าวเพื่อการผนวกเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย

ในช่วงเย็นวันอาทิตย์ (2 ต.ค.) โวโลดีเมอร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดียูเครน กล่าวว่า กองทหารยูเครนได้เข้ายึดดินแดนบางส่วนในภูมิภาคเคอร์ซอนกลับคืนมาได้แล้ว ในขณะที่ วลาดิเมียร์ ซัลโด หัวหน้าพื้นที่เคอร์ซอนที่ได้รับการแต่งตั้งโดยรัสเซีย บรรยายสถานการณ์ที่นั่นว่า “ตึงเครียด” และกล่าวยอมรับว่ากองกำลังยูเครนได้บุกทะลวงทะลวงพื้นที่อย่างรุดหน้า ทั้งนี้ รัสเซียได้สูญเสียการควบคุมโดยสมบูรณ์แบบใน 4 แคว้นของยูเครนแล้ว


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/world-europe-63118050?fbclid=IwAR2F0tFrdc8UaaOHdB5C23y-ArWYhC_h3-y66Zo_NXgPQNiW_FkzppTv0Fk