ไม่พบผลการค้นหา
หลายวันมานี้ประเทศบราซิลกลายเป็นข่าวคึกโครมในทุกสำนักข่าวทั่วโลก เมื่อมีการเปิดเผยหลักฐานการ “ฮั้ว” ระหว่างนักการเมืองสายอนุรักนิยมกับตุลาการและอัยการ เพื่อกำจัดอดีตประธานาธิบดีสายเสรีนิยม

สำนักข่าวอินเตอร์เซปต์ได้เปิดเผยหลักฐานจากปี ค.ศ.2016 ซึ่งเป็นข้อความที่ เซอร์จีโอ โมโร(Sergio Moro) ซึ่งขณะนั้นเป็นผู้พิพากษาในคดีที่มีการฟ้องร้องเอาผิดอดีตประธานาธิบดีลูอิซ อินญาซิโอ ลูลา ดา ซิลบา(Luiz Inacio Lula da Silva) ในข้อหาคอรัปชั่นและฟอกเงิน ได้มีการโต้ตอบพูดคุยกับอัยการในคดีดังกล่าว โดยมีการชี้แนะให้เขียนคำฟ้องอย่างไรให้สามารถเอาผิดอดีตประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลบา และที่สำคัญคือมีการแนะนำให้สร้างหลักฐานและพยานเท็จเพื่อทำให้อดีตประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลบา ได้รับโทษให้รุนแรงมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งหลักฐานและพยานเท็จดังกล่าวทำให้ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2017 อดีตประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลบา ถูกตัดสินจำคุก 9 ปี 6 เดือน แม้ว่าคดียังไม่ยุติและต้องต่อสู้ต่อในศาลอุทธรณ์และศาลฎีกา แต่ก็ทำให้อดีตประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลบา ขาดคุณสมบัติ ไม่สามารถลงสมัครเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี ค.ศ.2018

000_1HJ0O4.jpg

(ผู้ประท้วงฝ่ายสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีเรียกร้องให้ปล่อยตัวเขาเนื่องจากเห็นว่ากระบวนการดำเนินคดีไม่มีความยุติธรรม)

ทั้งนี้ อดีตประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลบา เป็นประธานาธิบดีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมากจากประชาชนบราซิล เหตุเพราะเขาเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์บราซิลที่เป็นลูกคนจน ไม่ใช่นายพลหรือชนชั้นสูงผู้ดีมีเงินเหมือนประธานาธิบดีคนอื่นๆ เขาเกิดเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ.1945 ในครอบครัวชนชั้นแรงงาน เมื่ออายุ 12 ปี ก็ต้องออกจากโรงเรียนไปเป็นคนงานในโรงงานเหล็กเพื่อช่วยพ่อแม่หาเงินให้พอเป็นค่าอาหารและค่าเช่าห้อง แต่ด้วยบุคลิคที่โดดเด่น เป็นคนเฉลียวฉลาด กล้าหาญ และมีวาทศิลป์เป็นเลิศ ทำให้เขาได้รับเลือกเป็นประธานสหภาพแรงงานของโรงงานเหล็กแห่งนั้นตั้งแต่อายุยี่สิบกว่าปี และได้รับเลือกเป็นประธานสหภาพแรงงานของทั่วประเทศบราซิลในปี ค.ศ.1975 แล้วร่วมกับนักวิชาการและผู้นำสหภาพแรงงานจำนวนหนึ่งก่อตั้งพรรคการเมืองชื่อ “พรรคคนงาน” (Parido dos Trabalhadores หรือ Worker’s Party) เพื่อทำงานเป็นกระบอกเสียงให้ชนชั้นแรงงาน พรรคคนงานได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยมีฐานเสียงเป็นชนชั้นแรงงานและคนจนซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ในบราซิล กระทั่ง ค.ศ.2002 ลูลา ดา ซิลบา ก็ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก เขาดำเนินนโยบายลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม การกระจายรายได้ และดูแลสวัสดิการแรงงาน จนทำให้เขาเป็นที่นิยมของประชาชนอย่างมากแล้วสามารถชนะการเลือกตั้งในสมัยถัดมา เขาจึงเป็นประธานาธิบดีคนแรกของบราซิลที่มาจากการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งสองสมัยต่อเนื่องกัน เขาลงจากตำแหน่งใน ค.ศ. 2011 เพราะรัฐธรรมนูญบราซิลห้ามประธานาธิบดีดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกินสองสมัย  

เมื่ออดีตประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลบา ก้าวลงจากตำแหน่ง เขาได้ส่งเสริมให้ นางดิลมา วานา รูซเซฟฟ์ (Dilma Vana Rousseff) นักเศรษฐศาสตร์ที่เป็นรัฐมนตรีกระทรวงการเหมืองแร่และพลังงานควบตำแหน่งเลขาธิการสำนักประธานาธิบดีในรัฐบาลของเขา ให้ได้เป็นผู้นำพรรคคนงานและลงชิงชัยการเลือกตั้งประธานาธิบดี และกลายเป็นประธานาธิบดีหญิงคนแรกของบราซิลใน ค.ศ. 2011 แต่ก็ถูกวุฒิสภาโหวตคว่ำกฎหมายงบประมาณในเดือนสิงหาคม ค.ศ.2016   แล้ว มิเชล เทเมอร์ (Michel Temer) จากพรรคคนงานเช่นกันได้เป็นประธานาธิบดีต่อ แต่ก็ถูกคดีฟอกเงินจนพ้นตำแหน่ง

ดังนั้น อดีตประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลบา จึงประกาศจะลงสมัครชิงชัยในการเลือกตั้งประธานาธิบดีใน ค.ศ. 2018 ซึ่งประชาชนบราซิลให้การตอบรับดีมาก โพลทุกสำนักรายงานตรงกันว่า เขาได้รับคะแนนนิยมสูงถึงร้อยละ 85 และจะชนะการเลือกตั้งอย่างแน่นอน แต่ก็ถูกดำเนินคดีจนมีคำพิพากษา จึงขาดคุณสมบัติที่จะลงสมัคร  และลามไปถึงการห้ามพรรคคนงานส่งผู้สมัครอีกด้วย

ทั้งคดีของ อดีตประธานาธิบดีเทเมอร์และอดีตประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลบา มีความเหมือนกันตรงที่มีผู้พิพากษาคนเดียวกัน คือ ผู้พิพากษา เซอร์จีโอ โมโร ซึ่งเป็นคนหนุ่ม จากครอบครัวผู้ดีเก่า จบการศึกษาระดับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของบราซิล เขาได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนอย่างมาก และเขาเองก็ชอบการเป็นคนเด่นคนดังให้สัมภาษณ์กับสื่อออกรายการทีวีต่างๆ

พรรคคนงานและประชาชนผู้สนับสนุนต่างก็รู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล และประท้วงว่าการดำเนินคดีดังกล่าวเป็นการเจตนากลั่นแกล้งทางการเมือง แต่ก็ไม่เคยมีหลักฐานยืนยันคำประท้วง

ปรากฏว่า เมื่อ นายไฌร์ โบวโซนาโร (Jair Bolsonara) อดีตนายทหารจากกองทัพบกบราซิลผู้กลายเป็นนักการเมืองฝ่ายอนุรักษ์นิยมขวาจัด ชนะการเลือกตั้งได้เป็นประธานาธิบดี  ก็ได้มอบตำแหน่งให้ผู้พิพากษาเซอร์จีโอ โมโร เป็นรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ในรัฐบาลของเขา

000_1CX4E2.jpg

มีข่าวเนืองๆ ในสื่อบราซิลว่าประธานาธิบดีโบวโซนาโรกับรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมผู้นี้เข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ย และเมื่อเกิดเรื่องราวอะไรก็ตามที่พัวพันกับข้อกฎหมาย เซอร์จีโอ โมโร ก็จะทำตัวเป็นเนติบริกรส่วนตัวของประธานาธิบดีโดยเป็นผู้ออกมาแถลงแก้ต่างให้ประธานาธิบดีทุกครั้งไป ด้วยโวหารทางกฎหมายและตรรกะวิธีคิดที่แม้แต่นักกฎหมายคนอื่นๆ ในบราซิลก็วิจารณ์ว่าฟังดูพิลึกประหลาด เป็นปาฏิหาริย์ทางกฎหมาย

เรื่องที่เป็นที่ฮือฮาที่สุดคือ เรื่องการที่ประธานาธิบดีโบวโซนาโรจะจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 55 ปี การรัฐประหารของกองทัพบราซิล วันที่ 31 มีนาคม ค.ศ.1964 ซึ่งประชาชนจำนวนมากประณามว่าเป็นการฉลองที่ไร้สติเพราะการก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องน่าชื่นชม แต่เป็นสิ่งเลวร้าย ยุคที่เผด็จการทหารปกครองบราซิลเป็นยุคที่มีการจับกุมประชาชนไปเป็นนักโทษกว่าสองหมื่นคน และมีคนถูกอุ้มหายหลายร้อยคน ตลอดช่วงเวลา 21 ปีที่บราซิลอยู่ภายใต้เผด็จการทหาร เมื่อเห็นว่าการต่อต้านชักรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เซอร์จีโอ โมโร ก็ออกมาแถลงว่าปฏิเสธไม่ได้ว่ามันเป็นวันสำคัญทางประวัติศาสตร์ของชาติ ทำให้ประชาชนจำนวนมากรู้สึกไม่ชอบหน้า เซอร์จีโอ โมโร

ดังนั้น เมื่อเรื่องแดงว่ามีการ “ฮั้ว” และสร้างพยานและหลักฐานเท็จเพื่อเอาผิดอดีตประธานาธิบดี ลูลา ดา ซิลบา เช่นนี้ ทำให้สาธารณชนสงสัยต่อไปว่า ในคดีก่อนหน้านี้ของอดีตประธานาธิบดีเทเมอร์ซึ่งมีผู้พิพากษาคนเดียวกัน ก็น่าจะมีการ “ฮั้ว” เช่นกัน 

ตอนนี้ ประชาชนบราซิลจึงโกรธแค้น และเรียกร้องให้มีการสอบสวน เซอร์จีโอ โมโร ให้หนัก และเอาผิดเนติบริกรผู้นี้ให้สาสม