วันที่ 2 ส.ค. ธนกร วังบุญคงชนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) กล่าวถึงท่าทีของพรรครวมไทยสร้างชาติ หลังพรรคเพื่อไทย ประกาศจัดตั้งรัฐบาล ว่า ตนเองไม่สามารถพูดได้ เป็นเรื่องของคณะกรรมการบริหารพรรค ซึ่งทางหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้มีการยืนยันมาอย่างชัดเจนมาตลอด ว่าสามารถทำงานได้กับทุกพรรคการเมืองที่ยึดถือประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก และต้องไม่มีนโยบายแก้กฎหมายอาญามาตรา 112
ส่วนเงื่อนไขของพรรครวมไทยสร้างชาติ จะยังติดอยู่ที่มาตรา 112 หรือไม่ ธนกร ยอมรับว่า ยังเป็นเงื่อนไขเดิม เพราะพรรครวมไทยสร้างชาติเป็นพรรคเล็ก มี สส. 36 คน ไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาล คิดว่าเสียงทั้ง 36 นี้มีพลัง
เมื่อถามว่า การโหวตนายกรัฐมนตรีพรรครวมไทยสร้างชาติจะมีทิศทางอย่างไร ธนกร กล่าวว่า วันนี้จะมีการพูดคุยกัน และที่ตนเองเคยบอกว่าการเมืองเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมทุกอย่างก็จะจบ โดยวันนี้ประชาชนก็กำลังรอรัฐบาลใหม่ โดยรัฐบาลปัจจุบัน ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตอนนี้ได้มีการเตรียมถ่ายโอนงานให้กับรัฐบาลใหม่แล้ว และหลายโครงการที่เป็นประโยชน์ ตนเองเชื่อว่า รัฐบาลใหม่จะทำต่อ
เมื่อถามต่อว่า เศรษฐา ทวีสิน แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทยเป็นอย่างไรนั้น ธนกร กล่าวว่า หาก เศรษฐา ยืนยันชัดเจนเกี่ยวกับมาตรา 112 ก็สามารถทำงานได้ เพราะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและเป็นนักธุรกิจด้วย ซึ่งตนเองไม่ได้มีปัญหาอะไร
เมื่อถามว่า ก่อนการเลือกตั้ง เศรษฐา เคยหาเสียงว่าจะแก้ไขมาตรา 112 และจะมีความแน่ใจได้อย่างไรในอนาคตว่าจะไม่มีเรื่องการแก้กฎหมายมาตรานี้ ธนกร มองว่า ในการทำงานการเมือง ต้องมีความชัดเจนก่อน ไม่ใช่วันนี้จะให้พรรคการเมืองยกมือโหวตให้ไปก่อนคงไม่ได้ ต้องมีการเจรจาก่อน โดยผู้หลักผู้ใหญ่ทุกพรรคต้องคุยกันและแสดงเจตจำนงค์อย่างชัดเจน
ให้ประชาชนทราบด้วย และเดินหน้ากันไป โดยเรื่องที่ผ่านมาคิดว่าทุกคนต้องรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองกระทำเท่านั้น ส่วนเรื่องของประเทศชาติก็มีสิ่งที่ต้องทำให้ประชาชน ซึ่งต้องคิดให้ดีในหลายๆอย่าง และตัวเองคิดว่าไม่มีใครรังเกียจรังงอน ถ้าเราเอาประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลักก็จะสามารถเดินหน้าไปได้
ส่วนที่พรรคเพื่อไทย เข้ามาเป็นรัฐบาลมีภารกิจหลักสิ่งแรก คือการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้การจัดตั้งรัฐบาลง่ายขึ้นและไม่ยากเหมือนครั้งนี้ จะผิดเป้าประสงค์ในการตั้งรัฐบาลหรือไม่ ธนกร ระบุว่า ก่อนร่วมรัฐบาล ทุกพรรคต้องมาพูดคุยนโยบายหลักของแต่ละพรรคก่อน และหากตกลงกันได้ก็เดินหน้ากันไป ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญตนคิดว่า หลายอย่างสามารถทำได้ โดยยอมรับว่า รัฐธรรมนูญบางมาตราอาจจะต้องมีการปรับ แต่คงไม่ใช่การแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องเป็นฉันทามติของทุกพรรค
และที่พรรคเพื่อไทยบอกว่า เมื่อแก้รัฐธรรมนูญเสร็จแล้ว จะมีการคืนอำนาจให้กับประชาชนด้วยการเลือกตั้งใหม่ ธนกร กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ดี หากย้อนไปในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อมีการแก้ไขเสร็จก็จะมีการยุบสภาและเลือกตั้ง ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ใช่จะใช้เวลา 1-3 ปีแล้วแก้เสร็จ อาจต้องรอให้ครบวาระก็ได้
ธนกร กล่าวอีกว่า หากมีการพูดคุยกันก่อน ในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีวันที่ 4 สิงหาคม ก็คิดว่าไม่มีปัญหา แต่ในการเจรจาต่างๆ ตนเองไม่ได้อยู่ในกระบวนการเจรจา อยู่ที่หัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค แต่ไม่ว่าจะอย่างไรตนเอง ก็พร้อมปฏิบัติตามมติของพรรครวมไทยสร้างชาติ
เมื่อถามว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้มีปัญหาในเรื่องของ “ลุง” ที่เป็นเงื่อนไขของกลุ่มด้อมส้ม ที่สนับสนุนพรรคก้าวไกล ธนกร คิดว่า พรรครวมไทยสร้างชาติ ชัดเจนที่สุดตั้งแต่วันแรก และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ ตั้งแต่ช่วงแรก และไม่ได้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับพรรค จึงคิดว่าอาจจะเป็นเหตุผลของบางพรรค
ธนกร ยังบอกอีกว่า “บางทีเราดูข่าวในทีวีมากไป เห็นคนรุ่นใหม่ก็เก่งๆทั้งนั้น แต่ตนเอง ได้ไปดูผลการวิจัยของต่างประเทศที่ได้ระบุว่า การไปดูอะไรที่มันโง่ๆ มาก มันจะทำให้เราโง่ตามไปด้วย เพราะฉะนั้น การไปดูข่าวต้องมีความระมัดระวังในการดูด้วย” นักข่าวจึงถามว่าถามว่า การพูดลักษณะนี้มีความหมายจะสื่ออะไรหรือไม่ ธนกร บอกว่า ไม่ได้จะเหน็บใคร เพียงแต่เมื่อวานนี้มีคนส่งผลการวิจัยนี้มาให้ดู และเพื่อนๆ ก็เล่าให้ฟังด้วย