วันที่ 6 มิ.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ภัทรพงศ์ ศุภักษร หรือทนายอั๋น บุรีรัมย์ ยื่นคัดค้านคำร้องของ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ที่ขอให้ตรวจสอบการถือหุ้นไอทีวีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล
โดย ภัทรพงศ์ กล่าวว่า กฎหมายไม่ได้มีอะไรซับซ้อน ดูแค่กฎหมายรัฐธรรมนูญมาตรา 98(3) และพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. มาตรา 42(3) ระบุว่า การขายหรือไม่ขายหุ้นไม่ใช่ประเด็น โดยกฎหมายที่ห้ามไม่ให้คนที่เป็นเจ้าของหรือถือหุ้นสื่อในกิจการหนังสือพิมพ์ หรือกิจการสื่อสารมวลชนใดๆ เพราะไม่ต้องการให้เกิดความเสียเปรียบ ได้เปรียบเกิดขึ้น กลัวผู้สมัครจะอาศัยการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์แก่ตนเอง หรือกับผู้อื่นในทางการเมือง ซึ่งเป็นกฎหมายที่จำกัดสิทธิเสรีภาพ
ภัทรพงศ์ กล่าวต่อว่า ส่วนกฎหมายจะต้องตีความกว้างมากขนาดไหน ต้องดูบรรทัดฐานสังคม คดีนี้มีคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา เป็นเรื่องของ ชาญชัย อิสระเสนารักษ์ มีข้อเท็จจริงที่อาจผิดมากกว่า พิธาด้วย เพราะกิจการสื่อสารมวลชนของ ชาญชัยที่เข้าไปซื้อหุ้นยังดำเนินกิจการอยู่ แต่หุ้นของพิธาที่ถือนั้นมีเพียง 42,000 หุ้น และบริษัทอินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด ที่ถือหุ้นใหญ่ 638 ล้านหุ้น จะเห็นว่าสัดส่วนที่ พิธาถือไม่มีอำนาจในการสั่งการใด ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง และพรรคก้าวไกล จึงตั้งข้อสังเกตประการสำคัญว่าบริษัท ITV หยุดกิจการ 7 มี.ค. 2550 ตามคำสั่งของสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ให้ยกเลิกเพิกถอนตั้งแต่นั้นมา
แต่การที่ผู้ร้องที่มาร้องก็หน้าเดิมๆ มาจากขั้วการเมืองคนละฝ่าย ที่สังคมตีหน้าตรีตราว่าไร้สาระ ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางสังคม เขารู้ตัวดีว่าสังคมมองอย่างไร แต่ยังมีเกมส์การเมืองชั่วๆ มาดึงเช็งไม่ให้จัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จ ไม่ให้จัดตั้งได้เร็ว จึงมายื่นคำร้องคัดค้านขอให้ปัดตกคำร้องไปเหมือนกรณีที่ ศรีสุวรรณ จรรยา มายื่นคำร้องตรวจสอบนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย
“หวังว่าครั้งนี้ กกต. จะตรวจสอบอย่างรอบคอบ ไม่มีอคติส่วนตัว เอาประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นประเด็นสำคัญ ซับน้ำตาคนไทยตลอด 9 ปีที่ผ่านมา ปล่อยไปเถอะ ปล่อยบ้านเมืองไปตามครรลองตามวิถีประชาธิปไตย” ภัทรพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย