สียังคงเผชิญหน้ากับพายุทางการเมือง จากการภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ของจีน ความสัมพันธ์ของจีนกับสหรัฐฯ ที่ตกต่ำลง ตลอดจนการบังคับใช้นโยบายโควิดเป็นศูนย์ที่เข้มงวด ซึ่งทำให้จีนเองหันหน้าตามโลกไม่ไม่ทันกาล อย่างไรก็ดี มีการคาดการณ์ว่าสีจะขึ้นครองอำนาจต่อในสมัยที่ 3 ซึ่งเรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในยุคสมัยปัจจุบัน
จากการรายงานของ CCTV สำนักข่าวของรัฐบาลจีน ภายหลังการประชุมของคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ 25 คน ระบุว่า การประชุมใหญ่ ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 5 ปี จะเป็นการประชุมที่ “สำคัญอย่างมาก” ก่อนจะมีการกล่าวเสริมว่า การเตรียมการทุกอย่าง “ดำเนินไปอย่างราบรื่น”
ทั้งนี้ ผู้แทนพรรคคอมมิวนิสต์ประมาณ 2,300 คนทั่วประเทศจีน จะเดินทางมาประชุมกันที่กรุงปักกิ่ง เพื่อการคัดเลือกสมาชิกคณะกรรมการกลางของพรรคที่มีสมาชิกประมาณ 200 คน
โดยการประชุมของคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์ครั้งสุดท้าย ก่อนการประชุมใหญ่ในวันที่ 16 ต.ค.จะจัดขึ้นในวันที่ 9 ต.ค.นี้ ทั้งนี้ คณะกรรมการจะลงคะแนนให้กับคณะกรรมการบริหารพรรคคอมมิวนิสต์จำนวน 25 คน เพื่อขึ้นมาเป็นผู้มีอำนาจของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งจะประกอบไปด้วยผู้มีอำนาจสูงสุด 7 คน
อย่างไรก็ดี การลงคะแนนในอดีตมักเกิดขึ้นแบบมีแบบแผน ในการตัดสินใจเลือกผู้ขึ้นมาดำรงตำแหน่งระดับสูงสุดของจีน ทั้งนี้ ยังไม่มีการประกาศระยะเวลาในการประชุมอย่างชัดเจน
นักวิเคราะห์มองว่า ผลการตัดสินใจจากการประชุมของพรรคคอมมิวนืสต์จีน จะไม่ได้สร้างความประหลาดใจให้กับใคร เนื่องจากการคัดเลือกให้สีเป็นประธานาธิบดีจีนต่ออีกสมัยในวาระที่ 3 ถูกพูดคุยกันมาสักพักใหญ่แล้ว โดยสีได้รับคะแนนสนับสนุนจากมณฑลฝูเจี้ยนและเจ้อเจียง ที่ที่ตนเคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดในมณฑลนั้นๆ มาก่อน และสีอาจจะสามารถได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งต่อในวาระที่ 4 และ 5 ต่อไปได้เรื่อยๆ
มีการคาดการณ์อีกว่า สีอาจได้รับการเรียกขานจากที่ประชุมใหญ่พรรคคอมมิวต์จีนในปีนี้ว่าเป็น “ผู้นำที่ยิ่งใหญ่” ซึ่งเป็นคำที่เคยถูกใช้เรียกเหมามาก่อน โดยตลอดระยะเวลาไม่กี่ปีมานี้ หนังสือพิมพ์และสื่อโฆษณาชวนเชื่อของพรรคคอมมิวนิสต์จีน เรียกสีว่าเป็น “ผู้นำของปวงชน” ซ้ำๆ เพื่อส่งเสริมภาพการเป็นผู้นำของชาวจีนในตัวสี
ตลอดการขึ้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีของสี สีดำเนินนโยบายปราบปราบการทุจริตภายในพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างหนัก ในขณะที่นักวิเคราะห์มองว่ามาตรการดังกล่าวของสี เป็นเพียงแค่ความพยายามในการกำจัดศัตรูในทางการเมืองของตนเท่านั้น นอกจากนี้ สียังเข้าไปแทรกแซงและกดปราบขบวนการประชาธิปไตยในฮ่องกง ตลอดจนการบังคับใช้มาตรการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ในจีนอย่างสุดโต่งด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ สียังเผชิญหน้ากับการถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากประชาคมโลก ถึงกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ โดยเฉพาะต่อชนกลุ่มน้อยอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง สถานที่ที่มีชาวมุสลิมอุยกูร์อย่างน้อย 1 ล้านคนถูกจับเข้าค่ายกักกัน ใช้แรงงานทาส ทรมาน และสังหาร จากข้อกล่าวหาว่าเป็น “กลุ่มก่อการร้าย”
สียังใช้นโยบายต่างประเทศที่เรียกว่า “นักรบหมาป่า” ในการนำจีนปะทะกันกับระบอบประชาธิปไตยตะวันตก รวมถึงประเทศเพื่อนบ้านของตนเอง ส่งผลให้จีนแปลกแยกออกจากประชาคมโลก นอกจากนี้ สียังผลักดันความสัมพันธ์ที่มีกันระหว่างจีนกับรัสเซียให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมถึงการปลูกฝังลัทธิชาตินิยมและบูชาตัวบุคคลในจีนให้มีความสุดขั้วมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ในปี 2561 สีได้ล้มล้างกฎการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจีน 2 วาระในรัฐธรรมนูญลงไป ซึ่งเป็นกฎที่ถูกบังคับใช้มาตั้งแต่ยุคสมัยของเติ้งเสี่ยวผิง อดีตประธานาธิบดีจีนในช่วงทศวรรษที่ 1980 เพื่อป้องกันไม่ให้จีนเกิดผู้นำเผด็จการรวบอำนาจแบบเหมาเกิดขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งนี้ การล้มล้างกฎจำกัดวาระการดำรงตำแหน่ง จะช่วยปูทางให้สีสามารถเป็นผู้นำจีนตลอดชีวิตได้
ในช่วงปีที่ผ่านมา โฆษณาชวนเชื่อจีนได้พยายามส่งเสริมภาพลักษณ์การเป็นผู้นำอันยิ่งใหญ่ของสี ผ่านการชู “ความคิดของสีจิ้นผิง” เพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนินมาตรการ นโยบาย ตลอดจนการศึกษาภายในประเทศ อีกทั้งยังมีความพยายามในการลดทอนความสำเร็จของผู้นำจีนคนก่อนๆ เพื่อขับเน้นให้สีเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ เทียบเท่ากับเหมา อดีตเผด็จการชื่อก้องโลกจากจีน
ที่มา: